“ชายหมู” ขู่ฟ้องกลับ! กทม.อ้างจัดแสงสี 39 ล้าน ใช้งบกลางได้
รองผู้ว่าฯ กทม. นำทีมโต้ อดีต ส.ส. กทม. ประชาธิปัตย์ ยันกล้องวงจรปิดใช้ได้จริง 47,719 ตัว จัดซื้อตามระเบียบสำนักนายกฯ ไม่มีโกง อ้างใช้งบกลาง 39 ล้านเช่าไฟจัดแสงสีเข้าเงื่อนไขรายจ่ายตามนโยบายผู้ว่าฯ เป็นของขวัญปีใหม่สร้างความเชื่อมั่นเมือง บอกผู้ประมูลเหลือ 2 เจ้าเหตุถูกบีบข้อจำกัดเรื่องเวลา การันตีไม่มีฮั๊วประมูล โวทำเศรษฐกิจขยายตัว ได้ภาพเป็นล้านคุ้มค่า โบ้ยไม่มีสิทธิ์กีดกันผู้ชนะแม้บริษัททัวร์จะถูกกังขามีความสามารถหรือไม่ รับ “สุขุมพันธุ์” สั่งดูข้อกฎหมายจ่อฟ้อง
วันนี้ (4 ม.ค.) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 14.45 น. นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯ กทม. แถลงข่าวกรณี นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหา กทม. ในการทำสัญญาติดตั้งกล้องซีซีทีวี กว่า 47,000 ตัว แต่ติดตั้งจริงเพียง 11,000 กว่า ตัวเท่านั้นว่า กรณีดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิดของนายวิลาศ เนื่องจากนายวิลาศได้ทำหนังสือขอรายละเอียดการจัดซื้อจัดจ้างกล้องซีซีทีวี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 ถึงปัจจุบัน รวมถึงสัญญาเกี่ยวเนื่องทั้งหมด ซึ่ง กทม. ได้ส่งสำเนาสัญญาดังกล่าวให้ตามที่ร้องขอ โดยในปีงบประมาณ 2556 - 2558 กทม. มีการทำสัญญาติดตั้งกล้องซีซีทีวีจำนวนรวมกว่า 11,000 ตัว อย่างไรก็ตาม การติดตั้งกล้องซีซีทีวี กทม. ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบันมีกล้องที่ใช้งานได้จริงรวมทั้งสิ้น 47,719 ตัว และคาดว่า ในปีงบประมาณ 2559 จะมีกล้องซีซีทีวี เพิ่มขึ้นรวมจำนวนทั้งสิ้นเกือบ 60,000 ตัวตามนโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.
“ในประเด็นที่ นายวิลาศ กล่าวหาว่า สัญญาการจัดซื้อจัดจ้างกล้องซีซีทีวี ของ กทม. ไม่มีรายละเอียดใด ๆ ในสัญญา ผมขอยืนยันว่า การจัดซื้อจัดจ้างของ กทม. ใช้วิธีการตามระเบียบสำนักงบประมาณ และข้อบังคับของสำนักนายกรัฐมนตรี โดยดำเนินการด้วยวิธีการ อี-ออกชัน ซึ่งดำเนินการด้วยความถูกต้องและโปร่งใสทุกขั้นตอน ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชันใด ๆ ดังนั้น ข้อมูลที่นายวิลาศ กล่าวหาจึงเป็นความเข้าใจผิดจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง” นายอมร กล่าว
นายอมร กล่าวต่อว่า ส่วนงบประมาณจัดงานกรุงเทพฯ แสงสีแห่งความสุข จำนวน 39 ล้านบาท โดยใช้หลอดไฟแอลอีดี จำนวน 5 ล้านดวง บริเวณลานคนเมือง ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 2558 - 31 ม.ค. 2559 เป็นการใช้เงินงบประมาณจากงบกลางปี 2559 หรือ งบการเงินสำรองจ่ายทั่วไป จำนวนทั้งสิ้น 300 ล้านบาท อยู่ภายใต้การตัดสินใจของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ สามารถเบิกนำเงินมาใช้ได้ตามหลัก 4 ข้อดังนี้ 1. รายจ่ายที่มีความเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 2. รายจ่ายตามคำพิพากษาทางกฎหมาย เช่น ค่าสินไหมทดแทน ค่าปรับ 3. เป็นรายจ่ายเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล ที่ผ่านมามีการใช้จ่ายไปแล้ว อาทิ ค่าใช้จ่ายแรงงานต่างด้าวของรัฐบาล และ 4. รายจ่ายตามนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. ที่มีไปถึงประชาชนโดยตรง ดังนั้น การใช้เงินจำนวน 39 ล้านบาท เป็นจึงเข้าเงื่อนไขข้อ 4 เพื่อใช้จ่ายเงินมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กรุงเทพฯได้รางวัลเมืองน่าท่องเที่ยวอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์
นายอมร กล่าวอีกว่า สำหรับขั้นตอนการเปิดซองประมูลงานจัดงานของ กทม. มีบริษัทมาขอรายละเอียดโครงการจำนวน 9 บริษัท แต่ในวันที่เปิดประมูลเหลือเพียง 2 บริษัทเท่านั้น ซึ่งคิดว่าผู้ร่วมประมูลเหลือน้อย เกิดจากข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (ทีโออาร์) ถือว่าข้อจำกัดเรื่องของเวลา เพราะกำหนดประมูลให้เสร็จในวันที่ 17 ธ.ค. เพราะวันที่ 18 ธ.ค. กทม.จะต้องแจ้งกับบริษัทผู้ชนะให้เข้ามาดูสถานที่ จากนั้นต้องติดตั้งไฟให้แล้วเสร็จในวันที่ 30 ธ.ค. จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทเอกชนเข้ามาติดตั้งก่อนวันลงนามสัญญาจ้าง ทำให้บริษัทที่จะดำเนินการได้มีความเสี่ยงสูง และหนึ่งในบริษัทที่ได้งานไปตั้งงบที่น้อยกว่างบกลาง ยืนยันว่า ไม่มีการฮั๊วประมูลแน่นอน ทั้งนี้ ในเรื่องความคุ้มค่านั้น ก่อนหน้านี้ คาดว่า จะมีประชาชนเข้ามาเดินในงานประมาณ 4 แสนคน เฉลี่ยค่าใช้จ่ายประมาณ 100 บาทต่อคน จะทำให้มีการจับจ่ายซื้อสินค้าขยายตัวภาคเศรษฐกิจรอบพื้นที่ลานคนเมือง รวมถึงการที่ประชาชนใช้กล้องถ่ายภาพ แล้วอัปโหลดขึ้นโซเชียลมีเดียคิดเป็นค่าเฉลี่ย 1 ภาพถ่าย มูลค่า 20 บาท แต่ขณะนี้มีประชาชนมาร่วมงานแล้วกว่า 1 ล้านคน หรือคิดเป็นกว่า 1 ล้านภาพแล้ว จากนั้นภาพที่อยู่ในโซเชียลจะกระจายไปทั่วโลกจะได้เห็นภาพความสวยงามนี้ จึงถือว่าเป็นการจัดงานที่คุ้มค่า
“แม้บริษัทที่ชนะจะมีความสามารถเรื่องไฟฟ้าหรือไม่ แต่เมื่อเขาตัดสินใจเข้าร่วมประมูลแล้วชนะ ก็เป็นหน้าที่ไปดำเนินการติดตั้งให้ได้ หากทำไม่ได้บริษัทนี้จะถูกปรับเงินค่าเสียหาย และถูกตัดสิทธิ์ในการเข้ารับงานของ กทม. ต่อไป เพราะ กทม. ไม่มีสิทธิ์ไปกีดกันบริษัทไหน จะเป็นบริษัททัวร์จะห้ามเข้ามาทำได้หรือไม่” นายอมร กล่าว
สำหรับกรณีเกี่ยวกับการขยายสัญญาเดินรถไฟฟ้า (บีทีเอส) ออกไปอีก 30 ปีนั้น นายอมร กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อ กทม. พิสูจน์ข้อกล่าวหาได้ จะมีการดำเนินการตามข้อกฎหมายหรือไม่ นายอมร กล่าวว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้สั่งให้ทีมงานศึกษาข้อกฏหมาย โดยหลังจากนี้หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้อีก อาจจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กล่าวหาทำให้ กทม. เสียหายด้วย
ขอบคุณข่าวจาก