ชัด ๆ ความเห็น 6 กมธ.สนช.ทำไมต้องมีองค์กรผ่าทางตันแก้วิกฤติ ปท.?
ดูชัด ๆ ความเห็น กมธ.สนช. มี 6 คณะเห็นเหตุจำเป็นต้องมีองค์กรผ่าทางตันแก้วิกฤติประเทศ 2 คณะยังไม่เห็นเหตุจำเป็น อีก 2 คณะยังไม่ได้ข้อยุติ เตรียมชง กรธ. พิจารณา
กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง !
สำหรับการถกเถียงหาทางออกกันว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีองค์กรหรือคณะกรรมการชุดใดทำหน้าที่แก้ไขวิกฤติทางการเมือง หากถึง ‘ทางตัน’ ขึ้นมา ?
หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ในร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานฯ ได้บัญญัติคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ หรือ ‘คปป.’ โดยให้มีอำนาจแก้ไขวิกฤติการณ์ทางการเมือง
ทว่ากลับถูกกระแสตีกลับ โดนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ว่าเปรียบเหมือน ‘ซูเปอร์รัฐบาล’ ซ้อนทับรัฐบาลอีกทีหนึ่ง
นับว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ ‘ฉบับเรือแป๊ะ’ ถูก ‘บิ๊กทหาร’ มากบารมีในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เล็งเห็นว่า หากปล่อยไปถึงขั้นทำประชามติอาจไม่ผ่านได้ จึงมี ‘ใบสั่ง’ ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นเสีย
ผ่านมาอีกไม่กี่เดือน คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ถูกจัดตั้งขึ้น มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ มือกฎหมายระดับ ‘ครุฑ’ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานฯ เพื่อเตรียมร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกฉบับ ด้วยความหวังว่าจะ ‘ถูกอกถูกใจ’ ทุกฝ่าย-ทุกสี
มาคราวนี้ คสช. สำทับ 5 กรอบใหญ่ในการร่างรัฐธรรมนูญมาเสร็จสรรพ !
แต่ที่น่าสนใจคือในข้อที่ 3 ระบุว่า ให้มีมาตรการป้องกันไม่ให้การเมืองใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องโดยใช้เงินแผ่นดินไปอ่อยเหยื่อกับประชาชนเพื่อสร้างความชอบธรรม โดยมิได้มุ่งหมายให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขในระยะยาว จนเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างร้ายแรงและเกิดวิกฤติที่หาทางออกไม่ได้
ซึ่งตรงนี้หลายฝ่ายตีความตรงกันว่าอาจเป็น ‘คปป.’ ฉบับแปลงร่าง ?
(อ่านประกอบ : โชว์ 5 กรอบใหญ่ร่าง รธน.ใหม่"ฉบับมีชัย" จับตา คปป.แปลงร่าง?)
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า กมธ.สามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยความเห็นจาก กมธ. 10 คณะ และภาคประชาชน ชุดที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เป็นประธาน มีนายกล้านรงค์ จันทิก เป็นรองประธานคนที่ 1 ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุม สนช. แล้ว
โดยข้อมีเสนอตอนหนึ่งระบุว่า จำเป็นต้องมีองค์กรหรือคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติด้วย โดยมี กมธ. ถึง 6 คณะให้ความเห็นชอบ มี 2 คณะไม่มีข้อยุติเพราะความเห็นต่างกัน อีก 2 ไม่มีความเห็น และมีเพียง 2 คณะเท่านั้นที่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีองค์กรรูปแบบนี้
(อ่านประกอบ : กมธ.สนช.ชงข้อเสนอ รธน.ใหม่ นายกฯคนนอกได้-มีองค์กรผ่าทางตัน ปท.)
ฝ่ายเห็นชอบ 6 คณะ ได้แก่
1.กมธ.การเมือง
เห็นว่า ควรมีองค์กรหรือคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ
2.กมธ.การบริหารราชการแผ่นดิน
เห็นว่า ควรบัญญัติให้มี คปป. ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการปฏิรูปให้เกิดผลสำเร็จ และมีองค์กรที่แก้ไขปัญหาหากเกิดวิกฤติทางการเมืองขึ้น โดยการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวในสภาวะปกติ ควรไม่ให้มีลักษณะที่เป็นการทับซ้อนกับการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งควรมีลักษณะเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับสภาวะวิกฤติหากจะเกิดมีขึ้น
3.กมธ.การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ
เห็นว่า กมธ.เสียงข้างมากเห็นด้วยกับการกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศไว้ในรัฐธรรมนูญ ขณะที่ กมธ.เสียงข้างน้อยเห็นว่า ไม่มีความจำเป็น โดยอาจกำหนดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ในหมวดใดหมวดหนึ่งโดยเฉพาะ หรือกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลเพื่อนำมาใช้ในกรณีที่ประเทศเกิดปัญหาหรือวิกฤติ รวมทั้งหากวางระบบหรือกลไกทางการเมืองทั้งในส่วนของ ส.ส. และการเลือกตั้ง ที่มาของนายกรัฐมนตรี และที่มาของ ส.ว. ได้อย่างมีความเหมาะสม และเกิดดุลยภาพแล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการดังกล่าว
4.กมธ.การสาธารณสุข
เห็นว่า รัฐบาลตั้งขึ้นเป็นครั้งคราวจำเป็นเมื่อเกิดปัญหาของประเทศ และสิ้นสุดเมื่อภารกิจสำเร็จ กำหนดอำนาจหน้าที่ในยามปกติ ติดตามและให้ข้อเสนอแนะในยามวิกฤติ สามารถใช้อำนาจได้ตามขั้นตอนหรือควบคุมตรวจสอบการทำงานการเมืองตามรัฐธรรมนูญกำหนด กำหนดระยะเวลาปฏิบัติหน้าที่ 5 ปี โดยมีอำนาจไม่ซ้ำซ้อนกับฝ่ายบริหาร ในกรณีเกิดภาวะวิกฤติให้อำนาจฝ่ายตุลาการทั้ง 3 ศาลพิจารณา เพิ่มอำนาจในการตรวจสอบการทุจริตมากขึ้น
แต่ถ้าไม่มีองค์กรข้างต้น เห็นว่า ควรกำหนดขอบเขตของความรับผิดชอบของรัฐบาล เช่น การนำนโยบายที่ประกาศมาใช้แล้วหากเกิดปัญหาร้ายแรงขั้นไหน รัฐบาลต้องลาออก หรือให้ออกโดยเสียงประชาชน หรือสภาเป็นผู้พิจารณา
5.กมธ.การสื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ
เห็นว่า มีความจำเป็นต้องมีองค์กรหรือคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แก้ไขวิกฤติประเทศ แม้ว่าในทางประชาธิปไตยอาจเป็นที่ยอมรับได้ยาก แต่ด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา และสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้ว หากมีองค์กรหรือคณะกรรมการดังกล่าว จะเป็นกลไกหนึ่งที่จะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยการปฏิวัติ/รัฐประหาร ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในอนาคตมีความต่อเนื่องและมั่นคง
ทั้งนี้คณะกรรมการดังกล่าวไม่ควรเป็นคณะกรรมการประจำ และการทำหน้าที่ดังกล่าวจะทำเฉพาะกรณีเกิดวิกฤติของประเทศ โดยต้องมีองค์ประกอบให้ชัดเจน มีที่มาอย่างไร อาจเป็นผู้แทนขององค์กรหรือหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ประกอบขึ้นเป็นคณะกรรมการดังกล่าว มอบหมายให้สำนักงานองค์กรอิสระองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นเลขานุการฯ เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมือง อาจกำหนดเงื่อนไข เช่น ประชาชนจำนวนหนึ่งแสนคนเข้าชื่อเพื่อขอให้มีการเปิดประชุม และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ตรวจสอบรายชื่อประชาชนที่เข้าชื่อให้แล้วเสร็จ ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือในการขอเปิดประชุมจะต้องมีคณะกรรมการร่วมลงชื่อขอเปิดประชุมไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมด
6.กมธ.การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่า ควรมีองค์กรเพื่อทำหน้าที่แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยหากมีกรณีวิกฤติให้รัฐสภาเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยสถานการณ์ปัญหาวิกฤติของประเทศ และรับรองการเข้ามาทำหน้าที่ขององค์กรหรือคณะกรรมการ โดยรัฐสภาต้องมีมติมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
ไม่มีความเห็นยุติ 2 คณะ ได้แก่
1.กมธ.การพลังงาน
มีความเห็น 2 แนวทาง คือ ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็นที่จะต้องมีองค์กรหรือคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แก้ไขปัญหาวิกฤติประเทศ แบ่งเป็น ฝ่ายที่มีความเห็นว่าควรมี เนื่องจาก คปป. ควรประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้แทนจากภาคส่วนประชาชน อำนาจหน้าที่ควรอยู่ในกรอบของรัฐบาล ควรกำหนดเงื่อนไขและสถานการณ์ในการทำงาน กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และประชุมเมื่อเกิดวิกฤติ มีการตั้งองค์กรชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤติ และมีกรอบการทำงานที่ชัดเจน
ส่วน กมธ.ที่เห็นว่าไม่ควรมี เนื่องจากควรมีการกำหนดคณะผู้บริหารประเทศในช่วงเกิดวิกฤติไว้ในรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยประธานองคมนตรี ประธานศาลต่าง ๆ ผู้บังคับบัญชาเหล่าทัพ และองค์กรที่สำคัญ บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าจะตั้งรัฐบาลได้ หรือยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่
2.กมธ.การคมนาคม
มีความเห็น 2 แนวทาง ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น แบ่งเป็น ฝ่ายที่เห็นว่าจำเป็นทั้งหมด 12 ราย (เช่น พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร พล.อ.ไพศาล สีตบุตร พล.อ.อ.บุญฤทธิ์ เกิดสุข นายธานี อ่อนละเอียด พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม) โดยบางคนเห็นว่า ควรให้คงไว้ตามร่างเดิม แต่ไม่ควรกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่ต้องกำหนดบทบาทความสัมพันธ์กับรัฐบาล หรือควรบัญญัติคำว่าวิกฤติชาติให้ชัดเจน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าตรงหรือไม่ หลังจากนั้นคณะกรรมการวิกฤติจึงเข้ามาทำหน้าที่แทนรัฐบาล เป็นต้น
ฝ่ายที่เห็นว่าไม่จำเป็น 7 ราย (เช่น พล.อ.ชยุติ สุวรรณมาศ พล.อ.อ.อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ พล.อ.อ.สฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์) โดยเห็นว่า การแก้ไขวิกฤติให้กระบวนการต่าง ๆ มีหน้าที่ตามกฎหมายดำเนินการให้สมบูรณ์ หรือไม่ก็ใช้วิธีการที่เคยปฏิบัติมาแล้ว หรือถ้ามีรัฐบาลเลือกตั้งแล้ว ไม่มีองค์กรใดในระบบมีอำนาจควบคุมรัฐบาลได้ตามระบอบประชาธิปไตย เป็นต้น
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย 2 คณะ ได้แก่
1.กมธ.การเกษตรและสหกรณ์
เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีองค์กรหรือคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ เนื่องจากกรณีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควรให้เป็นไปตามกระบวนการในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนแนวทางการดำเนินการเพื่อการบริหารจัดการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
2.กมธ.การศาสนา ศิลปะ และการท่องเที่ยว
เห็นว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีองค์กรหรือคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่แก้ไขวิกฤติของประเทศ
ทั้งหมดคือหลากความเห็นสารพัดความคิดจากการระดมสมองของ กมธ. ทั้ง 10 คณะใน สนช. ก่อนเสียงข้างมากถึง 8 คณะเห็นว่า ‘จำเป็น’ จะต้องมีองค์กรหรือคณะกรรมการเพื่อแก้ไขวิกฤติปัญหาประเทศ ก่อนจะนำเสนอให้กับ กรธ. ต่อไป
แต่นี่นับเป็นหนึ่งเสียงใน ‘แม่น้ำ 5 สาย’ เท่านั้น ยังไม่นับเสียงของ คสช. คณะรัฐมนตรี สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และการพิจารณาของ กรธ.
ท้ายสุดต้องจับตาดูว่า จะมี ‘องค์กร-คณะกรรมการ’ ใดคอยมากำกับดูแล แก้ไขปัญหาวิกฤติประเทศหรือไม่ และจะมีอำนาจ ‘เหนือ’ รัฐบาล อย่างที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่หรือเปล่า ?