ศธ.ดึง4หน่วยงานสร้างทักษะคิดสร้างสรรค์-วิเคราะห์หวังผลิตเด็กตรงตลาดแรงงานโลก
รมช.ศธ.ผนึกกำลัง4หน่วยงานติดอาวุธเด็กและครูด้วยทักษะคิดสร้างสรรค์-วิเคราะห์ ชี้ไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศผู้นำเดินหน้าพัฒนาทักษะที่ตลาดแรงงานโลกต้องการในศตวรรษที่ 21 ร่วมกับ OCED
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่กระทรวงศึกษาธิการ มีงานแถลงข่าว“ติดอาวุธเด็กและครูไทยด้วยทักษะคิดสร้างสรรค์และคิดวิเคราะห์” ความร่วมมือในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ของเด็กเยาวชนและครูไทยในศตวรรษที่ 21 โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) มูลนิธิยุวสถิรคุณ และสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.)
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้หลายฝ่ายได้สะท้อนตรงกันว่า เด็กไทยคิดไม่เป็นและขาดทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่นายจ้างต้องการมี 5C ได้แก่ 1 ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creativity) 2. ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical thinking) 3.ทักษะการสื่อสาร (Communication) 4.ทักษะการทำงานเป็นทีม (Collaboration) และ5 ทักษะการใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ (Information Communication Technology) จึงนำมาสู่ความร่วมมือในครั้งนี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ในอนาคตผู้จัดการอบรมต้องผ่านการทดสอบทักษะคิดวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์เพื่อให้มีความมั่นใจว่าผู้สอนและผู้อบรมมีทักษะอย่างแท้จริง ซึ่งสพฐ.ถือเป็นหน่วยใช้บริการที่สำคัญที่สุดจึงต้องร่วมกับหน่วยงานภายนอกอย่าง สสค. และมูลนิธิยุวสถิรคุณ เพื่อเริ่มวิจัยพัฒนาและทดลองนำร่องควบคู่กันว่า การจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพควรทำอย่างไร รวมถึงเครื่องมือประเมินที่เป็นทางการและได้มาตรฐานโลกอย่างไร
“ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในวันนี้จะรวมถึงการพัฒนาศักยภาพครูและผู้ฝึกอบรมครูทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคควบคู่ไปด้วย การที่องค์กร OECDเข้ามาเลือกประเทศไทยนำร่องจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าระบบการศึกษาทั่วโลก ตลาดแรงงานได้เปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้นการเรียนการสอนจึงต้องมีการปรับตัว การสอบ PISA จึงเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลง”
ด้านนพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการสสค. กล่าวถึงผลสำรวจความต้องการแรงงานของนายจ้างและองค์กรเกิดใหม่ ปี2557 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ผู้ริเริ่มโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ หรือที่รู้จักในนาม “PISA”พบว่า ปัจจุบันทักษะที่นายจ้างในองค์กรยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จคาดหวังมากที่สุดคือ ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์
ผู้จัดการสสค. กล่าวว่า ตลาดแรงงานในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะดังกล่าวอย่างมาก ขณะที่เยาวชนเองก็สะท้อนว่าพวกเขาไม่ได้ถูกระบบการศึกษาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำงาน เช่นเดียวกับผลสำรวจของ McKinseyปี2012 และ 2013 นายจ้าง สะท้อนว่า ภาคธุรกิจกำลังประสบความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะขาดแคลนผู้ที่มีทักษะมาทำงานถึง 33% ขณะที่เยาวชนรู้สึกว่า พวกเขาไม่ได้ถูกเตรียมตัวมาให้พร้อมสำหรับการทำงานถึง 79% และงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 60% ไม่ได้อยู่ในหลักสูตรการสอนยุคปัจจุบัน
“องค์การโออีซีดีจึงมีแผนในการเพิ่มการประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ในการสอบ PISA ประจำปี 2564 เพื่อส่งสัญญาณให้แก่ระบบการศึกษาทั่วโลกให้ทราบการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่ต้องการกำลังคนที่มีทักษะในศตวรรษที่21มากขึ้น โดยเฉพาะทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์”
นพ.สุภกร กล่าวถึงการวิจัยพัฒนาเครื่องมือส่งเสริมและประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ในชั้นเรียนว่า ประเทศไทยร่วมเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่ได้บุกเบิกการฝึกทักษะการคิด จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง4หน่วยงาน ได้แก่ สพฐ.สสวท.สสค.และมูลนิธิยุวสถิรคุณ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดการพัฒนาทักษะของครูและเด็กในการสอนด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ มาร่วมถอดบทเรียน เพื่อร่วมกันพัฒนาครูและเด็กเยาวชนให้มีทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ในกลุ่มวิชาศิลปะระดับป.3 และวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ในระดับม.2 ดำเนินการร่วมกับสถานศึกษา 23 แห่ง ครอบคลุมนักเรียนจำนวน 1,100 คน และ ครู 50 คน โดยแบ่งเป็นสถานศึกษาสังกัดสพฐ. 16 แห่ง และสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7 แห่ง
“โดยใช้กระบวนการวิจัยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การโออีซีดีทุกขั้นตอน โดยมีแผนการดำเนินการระยะที่ 1 ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนมิถุนายน 2559 ก่อนจะนำผลการวิจัยมาปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อขยายผลสู่การดำเนินงานระยะที่ 2 ในปีการศึกษา 2559-2560 ต่อไป”
ด้านนายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการ สพฐ.กล่าวถึงภารกิจในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กเยาวชนจำนวนมากกว่า 7 ล้านคน ในสถานศึกษาสังกัดสพฐ.จำนวนกว่า 30,000แห่งทั่วประเทศ จึงให้ความสำคัญกับเป้าหมายการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตามนโยบายของท่านรัฐมนตรี และของรัฐบาลเพื่อให้เด็กเยาวชนไทยมีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานไร้พรมแดนในประชาคมอาเซียนที่จะเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้