ยก จ.ระนอง ต้นแบบจัดการสุขภาพแรงงานข้ามชาติสำเร็จ
เอ็นจีโอชี้ “ระนอง” คือจังหวัดต้นแบบบริหารจัดการด้านสุขภาพให้แรงงานข้ามชาติ ชี้ปัจจัยความสำเร็จมาจาก สสจ.ให้ความสำคัญทุกภาคส่วน และมี อสม.ช่วยดูแลในพื้นที่
นางสาวฐิติยา สามารถ ผู้ประสานงานโครงการ มูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย จ.ระนอง ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติใน จ.ระนอง เปิดเผยถึงการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของแรงงานข้ามชาติใน จ.ระนอง ว่า ปี 2558 จำนวนแรงงานข้ามชาติที่มาลงทะเบียนกับสำนักงานจัดหางานจังหวัดระนองนั้น มีประมาณ 50,000 คน ซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่ทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานแรงงานคาดว่าจำนวนแรงงานข้ามชาติที่มาลงทะเบียนน่าจะมีมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ของมูลนิธิศุภนิมิตร พบว่าปีนี้มีแรงงานเข้ามาที่ จ.ระนองมากกว่าเดิม แต่แรงงานที่เข้ามานั้น มาเพื่อผ่านไปทำงานที่จังหวัดอื่น เช่น กทม. ภูเก็ต สุราษฏร์ธานี
นางสาวฐิติยา กล่าวว่า ในพื้นที่ จ.ระนองนั้น ถือว่าเป็นพื้นที่ต้นแบบที่มีการบริหารจัดการเพื่อให้แรงงานข้ามชาติได้เข้าถึงบริการสุขภาพ เพราะสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนอง ได้เปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติซื้อบัตรประกันสุขภาพ ราคา 1,200 บาทต่อคน ในส่วนของผู้ใหญ่ และขอให้ผู้ปกครองที่เป็นแรงงานข้ามชาติของเด็กแรกเกิดทุกรายซื้อบัตรประกันสุขภาพเด็กในราคา 365 บาทต่อคน
ทำให้เเรงงานข้ามชาติและผู้ติดตามได้รับบริการสุขภาพอย่างทั่วถึง และทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนองได้รณรงค์เพื่อจูงใจให้แรงงานข้ามชาติซื้อบัตรประกันสุขภาพ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกระจายข่าวในพื้นที่ด้วย
“แต่ปัญหาคือแรงงานข้ามชาติผู้ใหญ่ไปบัตรประกันสุขภาพซื้อน้อยมาก เราเคยสอบถามว่าทำไมไม่ยอมไปซื้อ ก็ได้คำตอบว่าเขาคิดว่าไม่คุ้มค่า เพราะไม่ค่อยเจ็บป่วย ปีหนึ่งเจ็บป่วยเล็กน้อย เป็นไข้แค่ 2-3 ครั้ง ไปซื้อยาจากรายขายยาก็ได้ จึงไม่เห็นความสำคัญของการซื้อประกันสุขภาพ
ส่วนกรณีเด็กแรกเกิดนั้น หากเป็นเด็กที่เกิดในโรงพยาบาลจังหวัดระนอง ทางโรงพยาบาลก็จะบังคับซื้อบัตร ซึ่งผู้ปกครองจะชอบ เพราะเด็กแรกเกิดนั้นต้องได้รับวัคซีน และดูแลต่อเนื่อง คิดแล้วคุ้มค่ากว่า” นางสาวฐิติยา กล่าว
นางสาวฐิติยา กล่าวว่า บุคคลที่สำคัญมากในการดูแลแรงงานข้ามชาติในชุมชน คือ อสม. เพราะเป็นผู้ที่อยู่ในชุมชนใกล้ชิดแรงงานมาก ทางจังหวัดระนองได้สนับสนุนให้ อสม.ไทยเป็นที่ปรึกษา และช่วยพัฒนาศักยภาพการทำงานของอาสามสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) เพื่อให้แรงงานข้ามชาติได้รับบริการสาธารณสุขที่ควรได้รับ และช่วยกันส่งเสริมป้องกันโรคในชุมชน เช่น การป้องกันโรคไข้เลือดออก การกำจัดลูกน้ำยุงลาย ที่ต้องทำงานคู่กัน เพื่อให้การป้องกันโรคครอบคลุมไปทั้งพื้นที่ นอกจากนี้ ทหาร ตำรวจ ควรเข้ามาช่วยดูแล แต่ต้องไม่ใช่การบังคับขู่เข็ญโดยใช้กฎหมายเป็นหลัก แต่ควรเปลี่ยนบทบาทเป็นการให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตในเมืองไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
สิ่งที่ทำให้ระนองประสบความสำเร็จในการจัดการเรื่องสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นจังหวัดเล็ก ๆ มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีแรงงานข้ามชาติผ่านเข้ามา คือการจัดระบบการเข้าถึงบริการด้วยการใช้ระบบส่งต่อคล้าย ๆ กับระบบหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) คือ เมื่อเจ็บป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ก่อน หากเกินศักยภาพจะส่งต่อไปโรงพยาบาลอำเภอ และโรงพยาบาลจังหวัด ตามลำดับ เพราะแรงงานจะเข้าถึงหน่วยบริการได้ง่าย และเป็นการเฝ้าระวังโรคระบาดในชุมชนได้ด้วย
“แรงงานข้ามชาติที่จังหวัดระนองโชคดีที่มีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เป็นเจ้าภาพหลัก และมีคณะกรรมการที่ดูแลด้านนี้ในระดับจังหวัดโดยเฉพาะ คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วย ตัวแทนจากโรงพยาบาลทุกระดับ หัวหน้าส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และเอ็นจีโอก็ได้รับโอกาสให้เข้าไปสะท้อนปัญหาให้ได้ทราบ
เป็นการให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ในส่วนของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติทุกด้านนั้นก็มีผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายปกครอง หน่วยงานด้านสาธารณสุขในจังหวัด และเอ็นโอจี ช่วยกันทำงานควบคู่กันไปทั้งระบบ สามารถเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ นำไปจัดการเพื่อดูแลสุขภาพแรงงานข้ามชาติได้” นางสาวฐิติยา กล่าว.