เมื่อ สตง. ชำแหละไส้ในสัญญามือถือ'กสท' พบเสียเปรียบ'ทรูมูฟ' หลายหมื่นล.!
เปิดผลสอบ สตง.สอบพบสัญญามือถือ 'กสท.' เสียเปรียบ 'ทรูมูฟ' หลายหมื่นล้าน ขณะที่งานจัดหาเครื่อง-อุปกรณ์สถานีฐานกับ บ.บี เอฟ เคที มีปัญหาคิดค่าปรับต่ำกว่าความเป็นจริงนับยร้อยล้าน ด้าน ปธ.คตง. สั่งตั้ง คกก.สอบข้อเท็จจริง หาตัวผู้รับผิดทั้ง "แพ่ง-วินัย-อาญา"
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบงบการเงินบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ กสท สำหรับปีงบประมาณ 2557 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2557 พบสัญญาการดำเนินกิจกรรมการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนในระบบ HSPA และกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องมีข้อกำหนดที่ไม่รัดกุม อาจทำให้ กสท เสียเปรียบ รวมทั้งพบประเด็นที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและคู่สัญญาของ กสท ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาทำให้ กสทไม่ได้รับสิทธิอันพึงมีพึงได้ตามสัญญาคิดเป็นเงินจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังพบการดำเนินการที่ทำให้ กสท มีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานและภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ กสท ในอนาคต
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปผลการตรวจสอบ สตง. พบว่ามีการระบุข้อสังเกตสำคัญหลายประการ ดังนี้
1. การขายส่งบริการบนโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ HSPA ที่ กสท ทำสัญญา กับ บริษัท เรียล มูฟ จำกัด ตกลงชำระค่าบริการเป็นรายเดือน ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.2554 ถึงงวดเดือนธ.ค.2557 เป็นเงิน 49,864.86 ล้านบาท แต่บริษัทฯ ยืนยันการชำระหนี้เพียง 37,665.80 ล้านบาท ที่เหลือจำนวน 12,199.06 ล้านบาท จะเจรจาหาข้อยุติในภายหลัง แต่จนปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้ กสท ยังได้รับชำระเงินไม่ครบถ้วน สูญเสียประโยชน์ที่ควรจะได้รับ เช่น ดอกเบี้ย เป็นเงินมูลค่าหลายพันล้านบาท
2. การเช่าเครื่องและอุปกรณ์วิทยุคมนาคม เพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ HSPA จากบริษัท บี เอฟ เคที (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตามสัญญากำหนดให้บริษัทฯ จัดหาเครื่องและอุปกรณ์สถานีฐานให้ กสท จำนวน 13,500 ชุด ภายในวันที่ 31 ธ.ค.2555 แต่บริษัทฯ ไม่สามารถจัดหาให้ครบได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งบริษัทฯ ต้องชำระค่าปรับให้กสท เป็นเงิน 2,364.99 ล้านบาท
แต่ กสท เรียกให้ชำระค่าปรับเพียง 2,016.20 ล้านบาท ต่ำไป 348.78 ล้านบาท และปัจจุบัน บริษัทฯ ยังไม่ได้จ่ายชำระค่าปรับให้กสท. แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทได้สร้างสถานีฐานเกินจำนวน 13,500 ชุด โดย กสท ไม่ได้รับค่าบริการที่เกิดจากสถานีฐานส่วนเกินดังกล่าว และยังไม่มีการเจรจาตกลงกันเรื่องรายได้ค่าบริการที่เกิดจากสถานีฐานส่วนเกินให้ชัดเจน
3. กสท ตกลงให้ บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวเคชั่น จำกัด ใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ภายในประเทศบนโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA (บริการ ROAMING) แต่ยังมิได้มีการทำสัญญาข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อ กสท แจ้งเรียกเก็บค่าบริการ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ถึง สิงหาคม 2557 เป็นเงิน 6,225.53 ล้านบาท บริษัทฯ ไม่ยอมชำระค่าบริการ โดยอ้างว่าการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องอัตราค่าบริการ
4. บริษัท ทรู มูฟ จำกัด ตกลงอนุญาตให้กสท ใช้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่บนความถี่ย่าน 1800 MHz ในลักษณะ ROAMING โดยมีข้อตกลงว่า กสท จะจ่ายค่าตอบแทนให้บริษัทฯ ตามที่กำหนด โดยรายได้ที่บริษัทได้รับมอบจาก กสท นั้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทต้องนำมาคำนวณส่วนแบ่งรายได้เพื่อชำระเงินให้แก่ กสท ตามสัญญาดำเนินการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz แต่บริษัทฯ ยังมิได้ชำระส่วนแบ่งรายได้ของปี 2554-2556 ให้ กสท เป็นเงินรวม 1,578.09 ล้านบาท โดย กสท ยังไม่เรียกให้บริษัทฯ ชำระส่วนแบ่ง และเงินเพิ่มกรณีชำระล่าช้าแต่อย่างใด และไม่ได้รับรู้รายได้ส่วนแบ่งดังกล่าวให้ถูกต้องในปีที่เกิดรายได้ ส่งผลให้ กสท ต้องเสียเงินเพิ่มจากการชำระภาษีไม่ถูกต้องเป็นจำนวนเงินถึง 23,279.38 ล้านบาท
5. การให้บริการอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ซึ่ง กสท อนุญาตให้บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด เข้าเพื่อที่เพื่อสำรวจ ติดตั้งอุปกรณ์และใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมก่อนการจัดทำสัญญาหรือข้อตกลงและยังไม่มีข้อตกลงเรื่องอัตราค่าใช้บริการ ทำให้ กสท ไม่สามารถออกใบแจ้งหนี้ให้บริษัทฯ ชำระค่าบริการได้ ตั้งแต่เดือนก.พ.2556 ถึง 31 ธ.ค.2557 รวมเป็นเงิน 287.75 ล้านบาท
ขณะที่ นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินงานที่ไม่มีความรัดกุม ปฏิบัติอย่างล่าช้า และไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญา ส่งผลให้ กสท เสียเปรียบและเกิดความเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก
"ได้แจ้งให้ กสท พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะ ของสตง.และการดำเนินการครั้งต่อไป ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุม เพื่อไม่ให้เสียเปรียบคู่สัญญา และต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็วตามขั้นตอนที่กำหนดในสัญญาและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการหาผู้รับผิดชอบทางแพ่ง ทางวินัย และอาญาต่อไป" ประธาน คตง.ระบุ