สมศ.เผย 5 ปัญหาอุปสรรคพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก
สมศ. เผย 5 ปัญหาสำคัญควรพัฒนาแก่โรงเรียนขนาดเล็ก แนะการใช้ประโยชน์จากผลการประเมินคุณภาพฯ เพื่อขจัดจุดอ่อนและช่วยเสริมความแข็งแกร่งการศึกษาไทย ชูความสำเร็จโรงเรียนวัดงิ้วเฒ่า
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ถอดบทเรียนตัวอย่างความสำเร็จจากโรงเรียนวัดงิ้วเฒ่า อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานศึกษาขนาดเล็กที่ประสบปัญหาการขาดแคลนครู
ศาสตราจารย์ ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ.กล่าวว่า จากข้อมูลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสามที่ผ่านมา พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั่วประเทศกว่า 33,736 แห่ง มีสถานศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 24,805 แห่ง ซึ่งบริบทของสถานศึกษาขนาดเล็กส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่นอกเขตเมือง หรือในพื้นที่ห่างไกล นักเรียนส่วนใหญ่มีพื้นเพมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน นอกจากนี้ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีค่านิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาในอำเภอเมืองหรือตัวจังหวัดหรือโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมากกว่า ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กไม่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาเท่าที่ควร โดยจากการประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ. ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา พบ 5 ปัญหาสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสถานศึกษาขนาดเล็ก
ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคทั้ง 5ปัญหา ประกอบด้วย1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับต่ำ 2. ขาดแคลนงบประมาณ เนื่องจากสถานศึกษาขนาดเล็กได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในจำนวนจำกัด จึงส่งผลต่อจำนวนบุคลากร ครุภัณฑ์และสื่อการเรียนการสอนต่างๆ 3. จำนวนบุคลากรครูมีไม่เพียงพอ จากปัญหาครูไม่ครบชั้นเรียน สถานศึกษาจึงจัดการเรียนรวมระหว่างชั้นเรียน ทำให้นักเรียนไม่ได้รับความรู้ที่เหมาะสมในแต่ละชั้นเรียน 4. ขาดระบบข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพ จากข้อมูลการประเมินสถานศึกษาของ สมศ. พบว่าอัตราการเข้าถึงสื่อสารสนเทศของสถานศึกษาขนาดเล็กยังอยู่ในระดับต่ำ ระบบสารสนเทศของโรงเรียนขนาดเล็ก เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล ระบบเครือข่าย ฯลฯ ส่วนใหญ่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการหรือไม่มีประสิทธิภาพมากพอ 5. สถานศึกษาขาดการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกมาใช้ปรับปรุงพัฒนา
“ทั้งนี้จากการดำเนินงานของ สมศ. ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากปัญหาดังกล่าว ยังมีปัญหาอีกจำนวนมากที่สถานศึกษาขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลได้ประสบ ซึ่งที่ผ่านมา สมศ. พบว่าสถานศึกษาหลายแห่งมีพัฒนาการ จากการประเมินรอบที่ 1 รอบที่ 2 และรอบที่ 3 อย่างต่อเนื่อง ผ่านการบูรณาการความร่วมมือตลอดจน วางแผนการดำเนินงานของสถานศึกษา พิจารณาบริบทและสถานการณ์ของโรงเรียน รวมถึงนำผลคำชี้แนะแนวทางการพัฒนาของ สมศ. มาใช้จนสามารถนำมาสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาและอุปสรรคได้”
ด้าน นายเด็ดดวง ชมศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดงิ้วเฒ่า กล่าวว่า โรงเรียนวัดงิ้วเฒ่า เป็นสถานศึกษาขยายโอกาส ในชุมชนที่นักเรียนเป็นคนพื้นเมือง ลีซอ และกะเหรี่ยง อยู่ร่วมกัน เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีครูจำนวน 12 คน มีนักเรียนจำนวน 105 คน ในการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอกในรอบที่ 2 (พ.ศ.2549-พ.ศ.2553) ได้รับการประเมินในระดับพอใช้ใน 3 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 6 ผู้เรียนมีทักษะการแสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มาตรฐานที่ 4 ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มีความคิดสร้างสรรค์ และการมีวิสัยทัศน์ มาตรฐานที่ 9 ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
"จากการประเมินในครั้งนั้น โรงเรียนได้รับการแนะนำจากผู้ประเมินของ สมศ. ในการนำเอาจุดที่ควรพัฒนาของโรงเรียนมาปรับเป็นยุทธศาสตร์ของโรงเรียน เช่น ปัญหาการขาดแคลนครู เนื่องจากครูส่วนมากเป็นครูที่เพิ่งได้รับการบรรจุและย้ายมาสอนที่โรงเรียนชั่วคราว ก่อนที่จะย้ายไปประจำต่อที่โรงเรียนอื่น ส่งผลให้แผนการเรียนการสอนไม่ต่อเนื่อง"
ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดงิ้วเฒ่า กล่าวอีกว่า ทางโรงเรียนจึงจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ามาใช้ ตามคำแนะนำของ สมศ. เพื่อเพิ่มโอกาสในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ส่งผลให้ผู้เรียนได้มีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย นอกจากนี้โรงเรียนยังมีนโยบายให้ครูประจำชั้นทำบันทึกการสอนประจำวันว่าวันนี้ครูสอนอะไร ให้การบ้านอะไรแก่เด็กนักเรียน และเตรียมการสอนอะไรในวันพรุ่งนี้ ตลอดจนแผนการสอนพิเศษเพิ่มเติม สำหรับ ชั้น ป.1 – ม.3 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นนโยบายของโรงเรียนที่ต้องการให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มเติม
“และยังส่งเสริมให้ครูไปอบรมด้านการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อนำความรู้ที่ได้มาต่อยอดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญให้มีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์ทางด้านคุณภาพของผู้เรียน โดยส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การเรียนรู้แบบเป็นกลุ่มและรายบุคคล”
นอกจากการเรียนการสอนตามหลักสูตรแล้ว ผอ.โรงเรียนวัดงิ้วเฒ่า กล่าวอีกว่า โรงเรียนยังได้สร้างความมีส่วนร่วมกับชุมชนด้วยการให้ “สล่า” หรือช่างผู้ชำนาญการแกะสลักไม้สัก มาสอนวิชาแกะสลักไม้สัก ให้กับนักเรียนในวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับนักเรียน รวมทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนโดยสนับสนุนการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของล้านนาจากปราชญ์ชุมชนในหมู่บ้าน เช่นการขับซอ (การร้องเพลงขับลำนำของภาคเหนือ) กลองสะบัดชัย และการฟ้อนต่างๆ อันเป็นอัตลักษณ์อันโดดเด่นของภาคเหนือ ด้วย
นายเด็ดดวง ระบุด้วยว่า จากการพัฒนาสถานศึกษาทุกด้านทั้งหมดที่กล่าวมา ส่งผลภาพรวมในการประเมินคุณภาพภายนอกรอบ 3 ที่ผ่านมา (พ.ศ.2554-พ.ศ.2558) โรงเรียนวัดงิ้วเฒ่าได้รับการประเมินอยู่ในระดับดี และผลการประเมินใน 3 มาตรฐานที่เคยอยู่ในระดับพอใช้ จากการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสอง พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับดี ทั้งนี้ ในการประเมินรอบสี่ โรงเรียนจะยังคงพัฒนาสถานศึกษาต่อไปเพื่อให้ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก