ใครเป็นใคร? พลิกแฟ้มประวัติ‘5 เสือ ป.ป.ช.’ป้ายแดง ลุยสางสารพัดคดีค้าง
ใครเป็นใคร ? พลิกแฟ้มประวัติ ‘5 เสือ ป.ป.ช.’ ป้ายแดง ‘วิทยา-สุวณา-วัชรพล-สุรศักดิ์-บุณยวัจน์’ ก่อนลุยสางสารพัดคดีค้างเก่า
เสร็จสิ้นลงไปแล้วสำหรับภารกิจของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ใหม่ทั้ง 5 ราย
ประกอบด้วย นายวิทยา อาคมพิทักษ์ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และ พล.อ. บุณยวัจน์ เครือหงส์ ที่ได้รับคะแนนเสียง “ท่วมท้น” ได้รับความไว้วางใจจาก สนช. ให้ปฏิบัติภารกิจ “ปราบ+ปราม” การทุจริตในประเทศไทย
(อ่านประกอบ : คะแนนท่วมท้น! สนช.ไฟเขียว 5 กก.ป.ป.ช.ใหม่)
หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว แต่บางคนอาจชื่อไม่คุ้นหูมาก่อน
ใครเป็นใคร ? สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปประวัติ “ว่าที่” กรรมการ ป.ป.ช. มานำเสนอ ดังนี้
1.นายวิทยา อาคมพิทักษ์
ลูกหม้อสำนักงาน ป.ป.ช. ของแท้อาศัยร่มโพธิ์อยู่นานหลายสิบปี ปัจจุบันอายุ 60 ปี จบปริญญาตรีศิลปะศาสตร์บัณฑิต รัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต ม.ปทุมธานี เริ่มรับราชการที่กระทรวงมหาดไทย ก่อนโอนย้ายมาอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ปัจจุบันคือ ป.ป.ช.) ช่วงปี 2525 และเติบโตขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2551 เป็นผู้อำนวยการสำนักการข่าวและกิจการพิเศษ ปี 2554 เป็นผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ปี 2556 เป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ท้ายสุดไปดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เคยเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. มาก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่ได้รับเลือก ก่อนจะมาสมัครรอบที่ 2 และเข้าวินในที่สุด
2.นางสุวณา สุวรรณจูฑะ
คนเก่าคนแก่ในกระทรวงยุติธรรม ปัจจุบันอายุ 59 ปี จบปริญญาตรีบัณชีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบปริญญาโทรัฐศาสนมหาบัณฑิต ม.ธรรมศาสตร์ ปี 2545 เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ปี 2549 เป็นอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ปี 2554 เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ก่อนจะมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจในปี 2557 โดยขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก่อนที่จะบินสูงเป็นถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมในปัจจุบัน
3.พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ
ดีกรีนายตำรวจนักเรียนนอก ปัจจุบันอายุ 61 ปี จบปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก่อนที่จะบินไปศึกษาต่อต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกา และแคนนาดานานหลายปี บินกลับมาเป็นผู้บังคับการกองการต่างประเทศ/หัวหน้าตำรวจสากลไทย ในปี 2539 ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ในปี 2546 และเติบโตตามไลน์ตำรวจโดยเมื่อปี 2553 ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนขึ้นนั่งรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แทน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ในปี 2557 ว่ากันว่าด้วยความสนิทกับ ‘บิ๊กทหาร’ ในบูรพาพยัคฆ์ ทำให้เจริญเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะได้เป็นสมาชิก สนช. ภายหลัง คสช. ยึดอำนาจในปี 2557 และลาออกในปี 2558 เพื่อมาสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช.
นอกจากมาก ‘บารมี’ ในแวดวงสีกากีแล้ว ยังเป็นบอร์ดและที่ปรึกษาให้เอกชนหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เค เอส เค ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท โกลเด้น ฟู้ดส์ สยาม จำกัด บริษัท เอกชัย ดิสทริบิวชั่นซิสเทม จำกัด เป็นต้น
4.นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร
นักกฎหมายใหญ่ ปัจจุบันอายุ 66 ปี จบปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต ม.ธรรมศาสตร์ จบเนติบัณฑิตไทย และรัฐศาสตรมหาบัณฑิต ม.ธรรมศาสตร์ เริ่มไต่เต้ามาจากการเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในปี 2535 ต่อมาในปี 2540 ขึ้นเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ก่อนที่ในปี 2551 จะนั่งเก้าอี้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ถัดมาปีเดียวขึ้นตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 ถัดมาในปี 2553 ขึ้นประธานศาลอุทธรณ์ภาค 3 ท้ายสุดก่อนปิดฉากชีวิตข้าราชการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ปัจจุบันเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ซึ่งนายสุรศักดิ์ ถือว่าได้รับความไว้วางใจสูงที่สุดจาก สนช. ด้วยคะแนนเสียง 173 เสียง เหนือกว่าคนอื่น ๆ ทั้งหมด
5.พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์
นายทหารสายตรวจสอบ ปัจจุบันอายุ 63 ปี จบปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ปริญญาบัตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 47 ก้าวหน้าในวิชาชีพด้วยการดำรงตำแหน่ง ผอ.กองตรวจสอบและวิเคราะห์ สำนักงานปลัดบัญชี กองทัพบก ในปี 2539 ก่อนขึ้น ผอ.กองสำรวจและจัดหน่วย สำนักงานปลัดบัญชี ปี 2543 ต่อมาในปี 2545 เป็นผู้ช่วยปลัดบัญชีทหารบก ถัดมาอีก 2 ปี ในปี 2547 เป็น ผอ.สำนักงานตรวจสอบภายในทหารบก ต่อมาในปี 2552 ขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม และท้ายสุดในปี 2554 เป็น ผอ.สำนักงบประมาณกลาโหม ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. หรือซูเปอร์บอร์ด กสทช. นับว่าเป็นบุคคลที่มากเครือข่ายคอนเน็คชั่นคนหนึ่ง
ทั้งหมดคือแฟ้มประวัติของ ‘ว่าที่’ 5 เสือ ป.ป.ช.ป้ายแดง ที่ สนช. เพิ่งโหวตให้คะแนนท่วมท้นไฟเขียวให้ดำรงตำแหน่งแทนที่ของนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. (ปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ) นายวิชา มหาคุณ นายภักดี โพธิศิริ นายวิชัย วิวิตเสวี และนายประสาท พงษ์ศิวาภัย ซึ่งหลังจากนี้อยู่ในขั้นตอนที่ประธาน สนช. ทูลเกล้าฯถวายรายชื่อเท่านั้น
อย่างไรก็ดีที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือการ “ส่งไม้ต่อ” ผ่องถ่ายคดีจากความรับผิดชอบของกรรมการชุดเก่า ให้กับชุดใหม่ ซึ่งมีหลายคดีที่สำคัญ และสังคมกำลังจับตา เช่น คดีสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นผู้ถูกกล่าวหา) คดีก่อสร้างโรงพักตำรวจ และแฟลตตำรวจ (นายสุเทพ เป็นผู้ถูกกล่าวหา) คดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) รอบใหม่ (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนางปราณี ศิริพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ถูกกล่าวหา) คดีระบายมันสำปะหลังแบบจีทูจี 2 คดี (คณะรัฐมนตรีทั้งในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้ถูกกล่าวหา) คดีเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร คดีนำเข้ารถหรูเลี่ยงภาษี เป็นต้น
การดำเนินการหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร กรรมการ ป.ป.ช. ใหม่ทั้ง 5 ราย จะมีฝีมือ-กึ๋นพอฟัดพอเหวี่ยงสู้กับบรรดา ‘คนโกง’ ในประเทศนี้ได้หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด !
หมายเหตุ : จากซ้ายไปขวา พล.อ.บุณยวัจน์, พล.ต.อ.วัชรพล, นายวิทยา, นางสุวณา ภาพประกอบทั้งหมดจาก naewna, isnhotnews, wikipedia, niec.go.th