เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: วิกฤตผู้ลี้ภัยและเสรีภาพในการแสดงออกต้องได้รับการแก้ไข
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยล่วงหน้าก่อนการเปิดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซียในวันพุธนี้ ย้ำต้องให้ความสำคัญเร่งด่วนกับแผนการประสานงานเพื่อช่วยเหลือผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้โยกย้ายถิ่นฐานหลายพันคนจากเมียนมาและบังกลาเทศ ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเสี่ยงต่อการปฏิบัติมิชอบและการเสียชีวิตระหว่างอยู่ในทะเลและแก้ไขปัญหาการคุกคามเสรีภาพการแสดงออกและการใช้สิทธิมนุษยชนอย่างสงบ
การประชุมสุดยอดของผู้นำรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนซัมมิทที่จัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ระหว่างวันที่ 18-22 พฤศจิกายนต้องไม่เน้นเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ ในขณะที่ภูมิภาคกำลังเกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยและการปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง
แชมพา พาเทล (Champa Patel) ผู้อำนวยการรักษาการ สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา วิกฤตผู้ลี้ภัยระดับโลกได้ปะทุขึ้นมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประชาชนหลายพันคนจากเมียนมาและบังกลาเทศถูกทอดทิ้งอยู่กลางทะเลบนเรือที่มีสภาพย่ำแย่ ถูกผลักดันออกจากชายฝั่งและตกเป็นเหยื่อการบังคับใช้แรงงาน หรืออาจถูกสังหารกลางทะเล นับเป็นโอกาสสำคัญในที่ประชุมสุดยอดสัปดาห์นี้ที่ชาติสมาชิกอาเซียนจะให้ความเห็นชอบต่อการออกแผนปฏิบัติการเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“รัฐบาลในภูมิภาคโดยเฉพาะอินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย ต้องพัฒนาระบบการให้ที่พักพิงในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศของตน และอันเป็นที่ชัดเจนตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ว่า บุคคลใดๆมีสิทธิแสวงหาที่พักพิง และต้องมีการรับพิจารณาข้อเรียกร้องเพื่อการแสวงหาที่พักพิงอย่างเป็นธรรม โดยไม่ถูกส่งกลับไปเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเกิดการทรมานหรือการลงโทษคุกคามขึ้น”
“บรรดารัฐภาคีของอาเซียนซึ่งยังไม่บรรลุหน้าที่ของตนในด้านนี้อย่างเพียงพอ ควรริเริ่มกระบวนการที่นำไปสู่การให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ.2494(1951 Refugee Convention)”
เสรีภาพในการแสดงออก
นอกจากนี้ รัฐบาลทุกประเทศในภูมิภาคโดยเฉพาะมาเลเซีย ไทย เมียนมา เวียดนามและอินโดนีเซีย ต้องเคารพและคุ้มครองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและต้องยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายซึ่งละเมิดสิทธิดังกล่าว
ในมาเลเซียยังคงมีการใช้พระราชบัญญัติการปลุกปั่นให้ขัดขืนอำนาจปกครอง (Sedition Act) ซึ่งเป็นกฎหมายตั้งแต่สมัยอาณานิคมเพื่อสอบสวน ตั้งข้อหา หรือคุมขังบุคคลหลายร้อยคนซึ่งวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือราชวงศ์ ทั้งนักการเมืองฝ่ายค้าน นักกิจกรรมทางการเมือง นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ ผู้สื่อข่าว ทนายความ และบุคคลอื่น ๆ รวมถึงซูกีฟลี อันวาร์อัลฮัค (Zulkiflee Anwar Ulhaque) หรือซูนาร์(Zunar) นักเขียนการ์ตูนการเมืองที่ถูกตั้งข้อหาเก้าข้อตามพระราชบัญญัติการปลุกปั่นให้ขัดขืนอำนาจปกครองเนื่องจากการทวีตข้อความวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตุลาการ
ในไทยการปราบปรามของภาครัฐต่อเสรีภาพในการแสดงออกได้ทวีจำนวนเพิ่มขึ้น มีการควบคุมตัวนักโทษทางความคิดโดยพลการ ซึ่งมักถูกปฏิเสธไม่ให้ได้รับการประกันตัวและมักมีการไต่สวนที่ไม่เป็นธรรมจากการขึ้นศาลทหาร ผู้ต้องหาบางคดีไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำตัดสิน ทางการยังใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกฎหมายต่อต้านการล้มล้างการปกครองเพื่อคุมขังบุคคลอีกเป็นจำนวนมากซึ่งใช้สิทธิแสดงความเห็นอย่างสงบ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนยังคงต้องเผชิญกับการถูกเซ็นเซอร์ การบังคับบุคคลให้สูญหาย และการประทุษร้าย ตัวอย่างเช่น นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรมที่ต้องเผชิญการพิจารณาคดีในศาลทหาร เนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แม้จะเพิ่งเกิดการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในเมียนมา แต่ที่ผ่านมามีการจับกุมและคุมขังบุคคลที่แสดงความเห็นอย่างสงบเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงปีที่ผ่านมา ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง ได้มีการจับกุมนักโทษทางความคิดรายใหม่อย่างน้อย 19 คน อันเป็นเหตุให้มีผู้ถูกควบคุมตัวเพียงเพราะใช้สิทธิของตนอย่างสงบรวมกันเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ เพียวเพียวอ่อง (PhyoePhyoe Aung) แกนนำสหพันธ์สหภาพนักศึกษาแห่งพม่า (All Burma Federation of Student Unions - ABFSU) ซึ่งถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2558 พร้อมกับนักศึกษาและผู้ประท้วงอีกหลายคน หลังถูกเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงเข้าจับกุมระหว่างการประท้วงของนักศึกษาเพื่อต่อต้านพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่
การปราบปรามกิจกรรมการเคลื่อนไหวอย่างสงบทางสังคมและศาสนายังคงดำเนินต่อไปในเวียดนาม สมาชิกกลุ่มนักกิจกรรมต้องเผชิญการคุกคามอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะคอยสอดส่องติดตามตัว มีการจำกัดการเดินทาง การควบคุมตัวโดยพลการ การฟ้องคดีและสั่งจำคุก และยังมีการใช้กำลังประทุษร้าย เหงวียน หือ วิง(Nguyen HuuVinh) ผู้เป็นบล็อกเกอร์และเพื่อนร่วมงานของเขาคือเหงวียน ถิ มิง ทุ๊ย (Nguyen Thi Minh Thuy) ยังคงถูกควบคุมตัวในชั้นพนักงานสอบสวนตั้งแต่ถูกจับกุมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา เนื่องจากเขียนเว็บบล็อกวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทางการ
ในอินโดนีเซีย กองกำลังของรัฐได้จับกุมนักกิจกรรมทางการเมืองชาวปาปัวอย่างน้อย 264 คนโดยพลการ เนื่องจากการประท้วงอย่างสงบระหว่างการเยือนของประธานาธิบดีโจโค วิโดโด นักกิจกรรมผู้เรียกร้องเอกราชอย่างสงบหลายคนจากภูมิภาคปาปัวและมาลุกุยังคงถูกคุมขัง บางคนถูกจำคุกเพียงเพราะโบกธงเรียกร้องเอกราช ทั้งยังมีการใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาเพื่อปราบปรามความเชื่อของชนกลุ่มน้อยอย่างต่อเนื่อง
“เราจะยังคงเรียกร้องต่อไปให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางความคิดทุกคนในภูมิภาคนี้โดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข” แชมพากล่าว
“ผู้นำอาเซียนต้องไม่เดินทางออกจากที่ประชุมสุดยอดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ก่อนจะแสดงพันธกิจที่จะยุติการละเมิดต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศของตนอย่างต่อเนื่อง บุคคลเหล่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้ทำงานของตนโดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกปราบปราม”