FTA Watch ค้านรบ.เข้าร่วมTPPขอประชาชนมีส่วนร่วม
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ออกแถลงการณ์ค้านไทยเข้าร่วมในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (TPP) ระบุไม่ควรเกิดขึ้นในยุครัฐบาลทหาร ย้ำกระบวนการตัดสินใจต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ตามที่มีกระแสเรียกร้องจากภาคธุรกิจบางส่วนให้ประเทศไทยเข้าร่วมในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (TPP)และรัฐบาลได้ดำเนินการให้มีการศึกษาเพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวนั้น
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch)ซึ่งได้ติดตามและวิเคราะห์ความตกลงดังกล่าวในประเด็นสำคัญต่างๆ มีความเห็นว่า ประเทศไทยไม่ควรเข้าร่วมในความตกลงนี้ หรือ อย่างน้อยที่สุดต้องไม่รีบเร่งเข้าเป็นภาคี โดยนางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มฯ เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ดังนี้
1.การยอมรับความตกลงทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้การคุ้มครองผู้ประกอบการมากไปกว่าความตกลงทาง การค้าโลก ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ต้องแก้กฎหมายที่มีอยู่หรือไม่ แต่จะส่งผลกระทบทางลบต่อประเทศไทยอย่างกว้างขวาง เช่น การขยายอายุสิทธิบัตรยา และการคุ้มครองข้อมูลยาจะส่งผลให้ยามีราคาแพงคิดเป็นมูลค่ามากกว่า100,000ล้านบาท/ปี ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของประชาชน ค่าใช้จ่ายของรัฐเกี่ยวกับบริการด้านสาธารณสุขจะสูงขึ้นอย่างมหาศาล และทำลายระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศในที่สุด
นางสาวกรรนิการ์ กิจติเวชกุล กล่าวว่า การขยายสิทธิบัตรพืชและการผลักดันให้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาUPOV1991จะทำให้เกษตรกรต้องจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์แพงขึ้น2-6เท่า และเปิดช่องให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรชีวภาพคิดเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมกันอย่างต่ำ100,000ล้านบาท/ปี โดยที่การเก็บรักษาพันธุ์เพื่อปลูกต่อถือว่าเป็นความผิดทางอาญา นอกจากนี้การขยายอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ให้ยาวนานออกไปจะส่งผลต่อการเข้าถึงความรู้ โดยผลประโยชน์อาจไม่ได้ตกอยู่กับศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์งาน แต่จะไปอยู่กับบริษัทจัดเก็บรายได้ เปิดช่องให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต อีกทั้งการทำงานของสื่อมวลชนและนักวิจัยอาจเป็นความผิดฐานละเมิดความลับทางการค้า เป็นต้น
2.ความตกลงเกี่ยวกับการคุ้มครองนักลงทุน จะเปิดช่องให้นักลงทุนฟ้องร้องรัฐบาลได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐดำเนินการออกมาตรการเพื่อปกป้องผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชน
3.สหรัฐอเมริกาจะใช้ความตกลงนี้ในการผลักดันให้ประเทศต่างๆต้องยอมรับพืชและผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรม หรือGMOsโดยที่ข้อกำหนดเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิเกษตรกร สิทธิผู้บริโภค มาตรการป้องกันไว้ก่อนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และการใช้เหตุผลด้านเศรษฐกิจสังคม จะไม่สามารถใช้เพื่อยับยั้งการปลูกพืชและการติดฉลากผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรมได้อีกต่อไป
4.ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการเข้าร่วมในTPPในกรณีการเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเพราะการลดภาษีเหลือ0%นั้น ไม่คุ้มค่ากับผลกระทบที่เกิดขึ้น เนื่องจากประเทศไทยได้ทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศในกลุ่มTPPแล้วถึง9ประเทศ เหลือเพียงสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโกเท่านั้นที่ไทยยังไม่มีความตกลงทางการค้าด้วย คิดเป็นสัดส่วนการส่งออกไปยัง3ประเทศดังกล่าวเพียง9%และมีสัดส่วนการลงทุนจากกลุ่มประเทศดังกล่าวเพียง9.9%เท่านั้น
“การที่กลุ่มประเทศดังกล่าวไม่ลดภาษีให้กับประเทศไทยไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียตลาดไปทั้งหมด ในทางตรงข้ามจะเป็นการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมสูงขึ้น ไม่ใช่แข่งขันที่ราคาแต่เป็นการแข่งขันสินค้าที่มีคุณภาพ อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน”
อย่างไรก็ตามนางสาวกรรณิการ์ ระบุว่า อยากเรียกร้องให้สังคมไทยร่วมกันกดดันไม่ให้รัฐบาลชั่วคราวตัดสินใจเข้าร่วมในTPPโดยอ้างเหตุผลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของบางสินค้าและบางอุตสาหกรรม โดยมิได้พิจารณาผลกระทบต่อประชาชน ฐานทรัพยากร และอธิปไตยของประเทศ
“การเข้าร่วมในความตกลงระหว่างประเทศดังกล่าว ต้องดำเนินการโดยกระบวนการมีส่วนร่วม การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกฝ่ายทุกกลุ่ม และผ่านการตัดสินใจโดยรัฐบาลและรัฐสภาที่มีที่มาจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้น”
ขอบคุณภาพจากส่วนหนึ่งของอินโฟกราฟฟิกโดยมูลนิธิพรมแดนอิเลิกทรอนิกส์