เบื้องหลัง!'บิ๊กตู่'กลับลำ!ยกเลิกคำสั่งตั้งเลขาสภาฯ บทบาทผู้นำกับอำนาจ ม.44
"...ว่ากันว่าเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้ นายนัฑ ผาสุข ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพราะได้แรงหนุนจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่นิยมชมชอบการทำงานของนายนัฑ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโชว์ผลงานได้ดีเข้าตา และเรียกใช้บริการอยู่เสมอ.."
"เหตุผลสำคัญที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้ง นายนัฑ ผาสุข ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แทนนายจเร พันธุ์เปรื่อง ที่พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไปดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2558 เป็นเพราะนายนัฑ ผาสุข ถูกต่อต้านอย่างหนัก"
นี่คือ ข้อมูลสำคัญที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงที่เชื่อถือได้ ในสภาผู้แทนราษฎร ถึงเหตุผลที่มาของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2558 ที่ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่อย่างเป็นทางการในช่วงกลางดึก คืนวันที่ 18 ต.ค.2558 ที่ผ่านมา
(อ่านประกอบ : "บิ๊กตู่"กลับลำ!ออกคำสั่งยกเลิกตั้ง "นัฑ ผาสุข" ข้ามห้วยนั่งเก้าอี้เลขาสภาฯ)
ส่วนสาเหตุที่ทำให้นายนัฑ ผาสุข ถูกต่อต้านอย่างหนัก จนถึงขั้นทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจลงนามในคำสั่งฉบับใหม่ เพื่อยกเลิกการเข้าไปดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาฯ ดังกล่าว
เป็นผลมาจากการที่ข้าราชการในสภาฯ หลายคนมองว่า นายนัฑ ผาสุข ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
แต่กลับได้รับความเห็นชอบจากผู้นำประเทศ ใช้อำนาจพิเศษ แต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาสภาฯ เป็นการย้ายข้ามห้วยจากวุฒิสภาไปใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างมาก
ว่ากันว่าเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้ นายนัฑ ผาสุข ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพราะได้แรงหนุนจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่นิยมชมชอบการทำงานของนายนัฑ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโชว์ผลงานได้ดีเข้าตา และเรียกใช้บริการอยู่เสมอ
เมื่อการทำงานของ นายจเร พันธุ์เปรื่อง มีปัญหา ต้องถูกย้ายออกตำแหน่ง จึงเสนอชื่อให้ นายนัฑ เข้ามาทำหน้าที่แทน
ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความที่ไว้วางใจและเชื่อการทำงานของผู้ใหญ่รายนี้อยู่แล้ว จึงเห็นดีเห็นงามลงนามในคำสั่งแต่งตั้งทันที
แต่เวลาผ่านไปแค่ 2 วัน เริ่มได้รับสัญญาณไม่ดี โดยเฉพาะกระแสต่อต้านจากข้าราชการ จึงตัดสินใจออกคำสั่งแต่งตั้งฉบับใหม่ เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ได้ปัญหานี้ลุกลามบานปลาย กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
จะว่าไปการออกประกาศ คสช.หรือ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ออกมาแล้วถูกมองว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติที่ผ่านมามีหลายเรื่อง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน ก็คือ ประกาศ คสช. ฉบับที่ 115/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญา โดยกำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอำนาจในการยื่นฟ้อง หรือไม่ยื่นฟ้องคดีทางอาญา ทั้งที่แต่เดิมกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ในการดูแลประชาชน ในเรื่องการรักษาความสงบรวมไปถึงการดูแลเรื่องความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่
ส่งผลทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเมื่อประกาศฉบับนี้ออกมา อำนาจของผู้ว่าฯจึงถูกลดลงไป และให้อำนาจนั้นแก่ผู้บัญชการตำรวจภูธรภาค ประการสำคัญทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบการถ่วงดุลอำนาจในการพิจารณาคดีความทางอาญา ทั้งในอำนาจการสั่งฟ้อง และการสืบสวน ของทั้งตำรวจและอัยการ
ซึ่งว่ากันว่าเบื้องหลังที่มาประกาศฉบับนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกยัดไส้โดยคนบางกลุ่ม ให้ลงนามเห็นชอบ ทั้งที่ ยังไม่ได้พิจารณาข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้าน และผลส่งทำให้เกิดปัญหาตามมาจำนวนมากเช่นกัน
(อ่านประกอบ :คสช.แก้กม.วิ อาญาคดีตจว.เห็นแย้งอัยการให้ ผบช.ชี้ขาดแทนผู้ว่าฯ , มหาดไทยค้านคสช.แก้ป.วิอาญา 145/1 ยันทำลายถ่วงดุลตร.-อัยการ , “คสช.”แก้ทำไม ป.วิอาญา ตัด”อำนาจผู้ว่าฯ” หรือหวังคุมอัยการ?)
ย้อนกลับมาที่ กรณีการออกคำสั่ง หัวหน้า คสช. เรื่องการแต่งตั้งให้ นายนัฑ ผาสุข ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แทนนายจเร พันธุ์เปรื่อง แม้ในทางปฏิบัติ เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่ว่า หลังจากรู้ว่าการออกคำสั่งของตนเอง อาจจะมีความบกพร่องและผิดพลาดเกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็รีบตัดสินใจแก้ไขปัญหา ด้วยการออกคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิมทันที และเป็นสิ่งที่ผู้นำควรปฏิบัติอย่างยิ่ง
แต่ในทางปฏิบัติที่ถูกต้องจริงๆ แล้ว ปัญหาเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ความระมัดระวังรอบคอบในการพิจารณาใช้อำนาจมากกว่านี้
ทุกครั้งที่ได้รับการรายงานข้อมูลจากผู้ใกล้ชิด และเจ้าหน้าที่เข้ามา ควรจะต้องมีการตรวจสอบพิจารณาข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้านก่อนตัดสินใจ
เพราะอำนาจ คือ ของศักดิ์สิทธิ โดยเฉพาะอำนาจมาตรา 44 ไม่ใช่ของเล่น ที่นึกจะใช้ นึกจะยกเลิกเมื่อไรก็ได้
และที่สำคัญ พอเกิดอะไรผิดพลาด ก็ปล่อยให้ผ่านเลยไป ทำเหมือนให้ลืมๆ ไปซะ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แบบที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้