โอกาสริบหรี่... เกษตรกรไทยหลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบ
โลโคลแอคเผยผลการศึกษา เกษตรกรมีโอกาสน้อยที่จะหลุดจากวงจรหนี้นอกระบบ ปัจจุบันกลายเป็นสาเหตุใหญ่ของการสูญเสียที่ดิน เหตุเพราะไม่มีสถาบันการเงินที่เกษตรกรพึ่งพิงได้จริง ชี้นโยบายปล่อยเงินกู้เพิ่มของรัฐ ยังเป็นแค่การห้ามเลือด ไม่ใช่การรักษาแผลให้หายขาด
โลโคลแอค หรือกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน เปิดเผยผลการศึกษา โครงการวิจัยการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้นอกระบบ
ความน่าสนใจของงานวิจัยชิ้นนี้ พบว่า เกษตรกรเข้าสู่วงจรหนี้นอกระบบ เพราะปัญหาสำคัญ 3 ประการ คือ
- ขาดทุนจากการผลิต เพราะภัยธรรมชาติและราคาผลผลิตตกต่ำ
- เข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ในระบบ เพราะไม่ผ่านเกณฑ์ให้กู้จากธนาคารของรัฐและสถาบันการเงิน
- และขาดความรู้ความเข้าใจในการวางแผนการผลิต การตลาด การใช้จ่ายและการออม
นางสาวพงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ ผอ.กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน กล่าวว่า แม้รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตระหนักถึงปัญหาการถูกยึดที่ดินของเกษตรกรจากนายทุนหนี้นอกระบบ และมีคำสั่งให้กระทรวงมหาดไทยสำรวจหนี้สินเกษตรกร โดยเบื้องต้นพบมีเกษตรกรมีหนี้นอกระบบจำนวน 143,437 ราย มูลหนี้ 21,590 ล้านบาท โดยมีกลุ่มที่มีความเดือดร้อนเร่งด่วน จากการนำที่ดินไปค้ำประกันเงินกู้ และอยู่ในชั้นบังคับคดีถูกยึดที่ดินถึงร้อยละ 65 หรือ 92,945 ราย
แต่มาตรการแก้ปัญหาหนี้ของรัฐด้วยการปล่อยเงินกู้เพิ่มผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสินนั้น อาจเป็นแค่มาตรการห้ามเลือด แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในระดับสาเหตุที่แท้จริง และตัดวงจรหนี้นอกระบบที่คุกคามเกษตรกรในปัจจุบันได้
จากงานศึกษาวิจัยยังพบอีกว่า เกษตรกรในพื้นที่มักเริ่มต้นด้วยการเป็นหนี้ในระบบก่อน โดยการนำหลักทรัพย์ไปค้ำประกันเงินกู้ เมื่อขาดทุนจากการผลิต แต่ต้องการรักษาที่ทำกินไม่ให้ถูกสถาบันการเงินในระบบยึด จึงเข้าสู่วงจรหนี้นอกระบบ
เมื่อเป็นหนี้นอกระบบแล้ว เกษตรกรน้อยรายที่จะรักษาที่ทำกินไว้ได้ เนื่องจากนายทุนนอกระบบบางกลุ่มหวังผลในที่ดินและทรัพย์สินของเกษตรกร
ปัจจัยผลักดันสำคัญ คือ เกษตรกรไม่มีการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกัน ชุมชนไม่มีสถาบันการเงินรองรับความเดือดร้อนเฉพาะหน้า รัฐไม่มีสวัสดิการสังคมและมาตรการประกันความเสี่ยงด้านรายได้ให้กับเกษตรกร รวมทั้งไม่มีธนาคารที่ดินที่เกษตรกรจะสามารถนำที่ดินไปจำนองชั่วคราวได้
มีกรณีศึกษาในโครงการวิจัย นายอุดม คุ้มภัย เกษตรกรจังหวัดราชบุรี มีที่ทำกิน 1 ไร่ 2 งาน ประกอบอาชีพเพาะเห็ด ทำก้อนเชื้อเห็ดขาย เหตุเพราะต้องการทำโรงเรือนเพาะเห็ด จึงนำโฉนดที่ดินไปจำนองกับนายทุนเงินกู้นอกระบบ และขอกู้เงิน 300,000 บาท แต่ได้รับเงินกู้จริงเพียง 280,000 บาท เพราะถูกหักดอกเบี้ย
และเมื่อลงทุนแล้วกลับประสบปัญหาไรแดงทำลายก้อนเห็ด เห็ดไม่ออกดอกและขาดทุนอย่างหนัก ด้วยเกรงว่าจะสูญเสียที่ดิน เขาจึงต้องหาเงินกู้แหล่งใหม่เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ แต่เนื่องจากไม่มีสถาบันการเงินที่พึ่งพิงได้ และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงเข้าสู่วงจรหนี้นอกระบบถึง 7 แห่ง เพื่อหมุนหนี้ รวมทั้งหนี้หมวกกันน็อคที่ตามทวงทุกวัน สุดท้ายรอดมาได้ด้วยการตั้งสติ ขอนัดเจรจากับเจ้าหนี้
รศ.วันชัย มีชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการศึกษาพัฒนานโยบายการยุติธรรมเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบว่า ควรผลักดันให้แก้กฎหมายอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความเป็นจริงปัจจุบัน จดทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบ รวมทั้งลงทะเบียนแบ่งประเภทของลูกหนี้นอกระบบให้ชัดเจน เพื่อให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มที่มีปัญหาเร่งด่วน เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือประสบปัญหาภัยพิบัติ ซึ่งควรได้รับความช่วยเหลือ แบบกึ่งให้การสงเคราะห์ เหมือนกรณีตัวอย่างที่ประเทศญี่ปุ่น ที่มีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กู้เงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก คือร้อยละ 0.5-1.5 ต่อปี เพื่อให้ผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินได้รับการช่วยเหลือและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของโลโคลแอค ก็มีข้อเสนอว่า แนวทางแก้ปัญหาหนี้นอกระบบคือการมีสถาบันการเงินในชุมชนที่เข้มแข็งและทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อทำหน้าที่คัดกรองและช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ควรลดกฎเกณฑ์การเข้าถึงเงินกู้จากธนาคารของรัฐ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงได้จริง และควรใช้หลักการธนาคารเพื่อคนจนเข้ามาแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เหมือนกรณีประเทศญี่ปุ่นและบังคลาเทศ
รวมทั้งควรสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรด้วยการสร้างหลักประกันทางรายได้ และการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อวางแผนการผลิตการตลาด และการออมในครัวเรือน
ที่มาภาพ:https://www.facebook.com/LocalAct