ถอดบทเรียนผลกระทบจากการพนัน สุดอี้ง! เด็กป.1 เริ่มเล่นหวยใต้ดินกันแล้ว
เครือข่ายชุมชนลดผลกระทบการพนัน เผยผลสำรวจสุดอี้ง เด็กป.1 เริ่มเล่นหวยใต้ดินกันแล้ว พร้อมกับค่านิยมสุดอันตราย ภาคภูมิใจที่ใบ้หวยให้พ่อกับแม่ถูกรางวัล ด้านนักวิชาการ แนะรัฐปฏิรูปสื่อ งดทำข่าวหน้า 1 เรื่องการใบ้หวย ชี้มีแต่สร้างความงมงายติดพนันให้คนในชาติ
เมื่อเร็วๆ นี้ ในเวทีการเสวนาถอดบทเรียน การดำเนินการโครงการ 24 ชุมชน ลดผลกระทบจากการพนัน จัดโดยศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะการลดปัญหาจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มีผู้นำชุมชนเครือข่ายต้านพนันจากทั่วประเทศจำนวน 24 ชุมชน และนักวิชาการเข้าร่วมเสวนาได้พบข้อมูลผลกระทบจากการพนันที่สำคัญ ดังนี้
ตัวแทนเครือข่ายจากภาคอีสาน บอกเล่าถึงการพนันในชุมชนที่มักเล่นกันเป็นประจำ พบอันดับ 1 คือการพนันบั้งไฟ รองลงมาคือหวยใต้ดิน
ในส่วนของบั้งไฟจะเล่นเฉลี่ยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง มีทั้งเล่นกันที่สนาม และเล่นพนันกันที่บ้าน โดยให้คนที่อยู่ในลานถ่ายทอดสด ถ่ายการจุดบั้งไฟไปยังมือถือของผู้เล่น วงเงินพนันถ้าเล่นดูการถ่ายทอดสดตามบ้าน จะมีหลัก 1,000 ขึ้นไป ขณะที่เล่นกันตามสนามเงินจะสะพัดถึงหลัก 10 ล้านบาท
ปัจจุบันหลังมีการเข้มงวดกวดขันจากเจ้าหน้าที่ก็มีการย้ายลานเล่นการพนันบั้งไฟไปยังชายแดน เพื่อหลีกหนีการจับกุม
"มีอยู่เคสนึงเป็นถึงนักการเมืองท้องถิ่น แต่ติดเล่นพนันบั้งไฟอย่างหนัก เมื่อเล่นได้ก็อู้ฟู่ มีแต่สาวๆมาหลงรุมล้อมหลงรัก และเมื่อเล่นหนักเข้า ก็เสียเงินไปรวมหลายล้านบาท ทำให้ภรรยาต้องร้องไห้ เพราะนอกจากต้องใช้หนี้พนัน จนที่บ้านไม่มีทรัพย์สินอะไรจะเหลือ แล้ว ยังต้องแบกรับในความเจ้าชู้ของสามีอีก ส่งผลให้ภรรยาเป็นโรคซึมเศร้า ขณะที่ลูกชาย 2 คนก็เรียนหนังสือไม่จบ เพราะไม่มีเงิน กลายเป็นเด็กเที่ยวเตร่ติดยาบ้า สุดท้ายนักการเมืองท้องถิ่นคนนี้ก็ติดโรคร้ายจากการเที่ยวผู้หญิง และเสียชีวิตในที่สุด กลายเป็นความสลดของการเล่นพนัน ที่ส่งผลให้ครอบครัวเกิดความแตกแยกตามมา” ตัวแทนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบลแห่งหนึ่ง บอกเล่าปัญหาที่เกิดจากการติดการพนัน
ด้านตัวแทนเครือข่ายจากภาคใต้ เล่าถึงการพนันในพื้นที่ว่า ชาวบ้านมักนิยมเล่นหวยใต้ดินกันมากที่สุด รองลงมาเป็นไพ่ และไฮโล โดยจะเล่นกันตามงานศพ
สิ่งที่ตกใจเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน จากการลงพื้นที่หาข้อมูลเรื่องการพนันก็คือ เด็กจะภาคภูมิใจเกี่ยวกับการที่เขาได้เล่นหวยใต้ดิน โดยพบเด็กอายุน้อยสุดที่เล่นหวยใต้ดินคืออยู่ชั้น ป.1 เท่านั้น
“เรื่องเด็กมีความภาคภูมิใจในการเล่นหวยใต้ดิน เนื่องจากเด็กคนนี้ได้ใบ้หวยให้กับพ่อและแม่ แล้วเกิดถูกรางวัลขึ้น ทำให้พ่อแม่เด็กไปคุยกับเพื่อนบ้านว่าลูกตัวเองเก่งเรื่องใบ้หวย จนทำให้เด็กคนนั้นเป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้าน จึงทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจ ถือเป็นค่านิยมที่อันตรายอย่างที่สุด เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นมา ประกอบกับพ่อแม่ให้ท้ายเรื่องการเล่นหวยตั้งแต่เด็ก เมื่อเด็กเป็นผู้ใหญ่จึงหนีไม่พ้นกลายเป็นคนติดพนันในที่สุด”
ส่วนตัวแทนเครือข่ายต้านพนันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่งสุดสลดแบบสีเทา พ่อเล่นพนัน แม่ติดเหล้า ผู้เป็นพ่อมักเล่นพนันทั้งไพ่ ไฮโล เป็นอาชีพ
"เคยถามว่าทำไมถึงไม่คิดจะเลิก ได้คำตอบมาว่า “ถ้าไม่เล่นพนันแล้วจะเอาอะไรเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย” ซึ่งเป็นคำตอบที่รู้สึกช็อคมาก เพราะถือเป็นค่านิยมที่อันตราย ส่วนคนแม่ก็เอาแต่เมา ขณะที่รายได้ก็ไม่มี เนื่องจากไม่มีใครจ้างเพราะมัวแต่กินเหล้า 3 เวลาหลังอาหาร" ตัวแทนจากภาคอีสาน เล่า พร้อมกับชี้ว่า ยังมีเรื่องราวที่สลดมากกว่านั้น อยู่มาวันหนึ่ง ลูกสาวที่เรียนอยู่ระดับมัธยมต้น เกิดตั้งท้องขึ้น จากการรู้จักชายหนุ่มทางโปรแกรมไลน์ เฟซบุ๊ก จึงมีการไปพูดคุยกับทางโรงเรียน ถ้าคลอดลูกออกมาก็ให้เข้ากลับไปเรียนได้ ระหว่างที่ลูกไปเรียนหนังสือ แล้วแฟนลูกออกไปทำงาน ขณะที่คนพ่อออกเดินสายเล่นพนัน จึงเหลือแต่แม่ที่ต้องเลี้ยงหลานให้ลูก และเมื่อกำลังไกวเปลให้หลานขณะอยู่ในอาการเมา ศรีษะหลานอายุ 3 เดือน เกิดไปกระแทกกับเสาบ้าน จากนั้นเด็กก็มีอาการเงียบ ไม่ร้องเหมือนแต่ก่อน ให้ดูดนมก็ไม่กิน สุดท้ายพาเด็กไปหาหมอ พบว่า มีเลือดคั่งในสมอง สุดท้ายเด็กก็เสียชีวิต เพราะสาเหตุจากพ่อติดพนันและแม่ติดเหล้าโดยแท้
ด้านตัวแทนเครือข่ายจากภาคกลาง ได้ถ่ายทอดปัญหาการพนันในชุมชนที่นิยมกันมากคือ ไพ่ตอง ที่มักนิยมเล่นในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะนำเงินยังชีพผู้สูงอายุที่ได้รายเดือนจากรัฐประมาณ 500-600 บาทมาเล่นจนหมด แทนที่จะนำไปใช้จ่ายในการดำรงชีพ
ขณะที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้พฤติกรรมติดการพนัน เป็นความผิดปกติทางจิตชนิดหนึ่ง และเมื่อการพนันคือโรคชนิดหนึ่ง และถือเป็นสิ่งเสพติดด้วยแล้ว ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ชี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องหันมาขบคิดปัญหาด้านการพนัน ให้เป็นวาระแห่งชาติเสียที โดยจัดให้การพนันเป็นสิ่งคุกคามต่อสังคมในระดับต้นๆ ขณะที่สื่อก็ต้องมีการปฏิรูป
"ที่ผ่านมาจะเห็นว่า มีข่าวขึ้นหน้า 1 กันอยู่ตลอด โดยเฉพาะใครถูกลอตเตอรี่ จำนวนหลายสิบล้านบาท รวมไปถึงข่าวที่มีสัตว์ และพืชแปลกๆ เพื่อจะได้มีการขอหวยและเลขเด็ดกัน เป็นต้น" สิ่งเหล่านี้ นักวิชาการ เชื่อว่า เป็นส่งเสริมให้คนไทย ตกอยู่ในความงมงาย ตกหลุมดำด้านการพนันมาโดยตลอด
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เสนอว่า ครอบครัวควรเลี้ยงดูลูกให้เหมาะสมตามวัย หลักที่เชื่อมโยง 4 ด้าน คือ
(1) ด้านการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและครอบครัวเป็น ด้วยการส่งเสริมให้เติบโตจะสามารถจัดการความเสี่ยงได้ตามวัย แต่การเลี้ยงดูปัจจุบันเกิดการแทรกแซงเกินกว่าวัยที่จะสามารถเรียนรู้ได้ เพราะสมองไม่สมารถพัฒนาได้ทันปัจจัยเสี่ยงเสียงที่เกิดขึ้น ความรู้ของเด็กที่ต้องเติบโตตามวัยเป็นหน้าที่ฝั่งนักวิชาการที่ต้องถอดบทเรียนร่วมกับพ่อแม่ ว่าในปัจจุบันในทางสุขภาพจิต ต้องได้รับความเข้มแข็งทางจิตใจ
(2) การพัฒนาสื่อสร้างสรรค์และมีมาตรการป้องกันส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อของเด็กและเยาวชน
(3) การพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ เพื่อพัฒนามาตรการในเชิงนโยบายต่างๆ
(4) ระบบการให้ความช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ยากที่สุด อย่างไรก็ตาม ควรดำเนินการทั้ง 4 ด้าน ไปพร้อมๆกัน และในส่วนการดำเนินการ พื้นที่ชุมชนท้องถิ่น จะเป็นพลังสำคัญ ในการเสริมการเรียนรู้ทักษะเท่าทันปัจจัยเสี่ยง ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะชีวิตเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายกิจกรรมสร้างสรรค์ หลังบ่าย 2 โมง
สุดท้ายนายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลนโยนบายสาธารณะเพื่อลดผลกระทบจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ นำเสนอข้อเสนอจากเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นเพื่อลดผลกระทบจากการพนัน ที่สำคัญ 4 ประเด็น คือ 1) การกำหนดให้การแก้ไขปัญหาการพนันเป็นวาระระดับชาติ ที่ต้องการมีการศึกษาการจัดการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2) การกำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมการพนัน ที่ทำหน้าที่ดูแลแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบจากการพนัน ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น 3) การแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเน้นการป้องกันเด็กและเยาวชน และ 4)การส่งเสริมหลักสูตรการพัฒนาทักษะการเท่าทันการพนันและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้กับเด็ก เยาวชน และครอบครัว