เบื้องหลังมาเลย์ "ตั้งแง่" รวบมือระเบิด
เป็นข่าวสับสนมาหลายวัน เรื่องสันติบาลมาเลเซียจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็น “ชายเสื้อเหลือง” ที่ลอบวางระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา
ข่าวไปไกลถึงขั้นว่า มาเลเซียน่าจะจับกุม “ชายเสื้อฟ้า” ได้ด้วย ซึ่งกรณีของ “ชายเสื้อฟ้า” มีความเป็นไปได้สูงกว่า เพราะทางการไทยจับกุม “ทีมพาหนี” ซึ่งเป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ และมีการให้การพร้อมชี้ภาพถ่ายจนน่าเชื่อว่า คนที่ถูกพาหนีเป็น “ชายเสื้อฟ้า” ผู้ที่นำระเบิดไปเขี่ยทิ้งน้ำบริเวณท่าเรือสาทร
ส่วน “ชายเสื้อเหลือง” นั้น หน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วย (ยกเว้นตำรวจ) ตั้งคำถามมาตลอดว่าจับได้จริงหรือ เพราะฝ่ายไทยไม่มีหลักฐานเลยว่าหนีข้ามฝั่งไปมาเลเซีย
กระทั่งล่าสุด ความสับสนก็จบสิ้นลง เมื่อมีการยืนยันจากนายตำรวจที่เดินทางไปมาเลเซียแล้วว่า ผู้ต้องสงสัยที่ทางการมาเลย์อ้างว่าจับกุมได้ ไม่มีทั้ง “ชายเสื้อฟ้า” และ “ชายเสื้อเหลือง”
ข่าวที่ว่า พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พาคณะไปรับตัว 2 ผู้ต้องหามือระเบิดคนสำคัญกลับไทย สุดท้ายก็ชัดเจนว่ามีการบินไปมาเลเซียจริง แต่แค่ประสานงาน ไม่ได้ไปพาตัวใครกลับ
และตอนนี้คณะของ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ก็กลับถึงประเทศไทยแล้ว
ตามข่าวที่แกะรอยโดยสำนักข่าวต่างประเทศ ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยที่มาเลเซียควบคุมตัวได้มี 2 ล็อต ล็อตแรก 3 คนซึ่งมีการแถลงใหญ่โตว่าอาจเป็นผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวโยงกับเหตุระเบิดในไทย แต่สอบไปสอบมากลายเป็นเรื่องม็อบการเมืองและคนในขบวนการนำพาชาวอุยกูร์ในมาเลย์
ล็อต 2 เพิ่งเป็นข่าวล่าสุดวันพุธที่ 23 กันยายน ระบุว่าจับผู้ต้องสงสัยอีก 8 คน เป็นชาวมาเลเซีย 4 คน และอีก 4 คนเป็นชาวจีนอุยกูร์ เบื้องต้นโดนตั้งข้อหาค้ามนุษย์ โดยรองจเรตำรวจมาเลเซียที่ออกมาแถลงยืนยันว่ายังไม่มีใครรับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดกลางกรุงเทพฯ
ฉะนั้นข่าวที่ไม่ว่ามีผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งให้การยอมรับแล้วว่าเป็น “ชายเสื้อเหลือง” จึงไม่รู้ว่าปล่อยจากมาเลย์ หรือพี่ไทยปล่อยกันเอง
ยังดีที่ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งหลักทัน และแถลงข่าวยืนยันชัดเจนว่า แม้ผู้ต้องสงสัยจะให้การยอมรับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าตำรวจไทยจะเชื่อได้ทันที ต้องนำตัวมาเทียบคำให้การกับผู้ต้องหาและผู้ต้องสงสัยรายอื่น ตลอดจนพยานบุคคลและพยานวัตถุต่างๆ ว่า “ใช่แน่หรือไม่”
ข้อมูลตลกร้ายที่ยืนยันได้จนถึงขณะนี้ก็คือ ไม่มีใครยืนยันได้ว่าผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจมาเลเซียควบคุมตัวได้ เกี่ยวโยงกับเหตุระเบิดกลางกรุงเทพฯหรือไม่ และมีใครเป็น “ชายเสื้อเหลือง” รวมถึง “ชายเสื้อฟ้า” หรือไม่
เรียกว่าเป็นการยืนยันว่า “ไม่ยืนยัน” ตามที่นายตำรวจระดับสูงแถลงข่าวอยู่ทุกวันนั่นเอง
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เผยเบื้องหลังว่า มีความพยายามปั่นข่าวเรื่องนี้เพื่อต่อรองให้ไทยส่งผู้ต้องหาคนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ไปให้ โดยผู้ต้องหารายนี้ถูกดำเนินคดีอยู่ในไทย และไปรู้เห็นเรื่องราวฉาวๆ ของนักการเมืองคนสำคัญของมาเลเซีย
แต่ทางการไทยปฏิเสธ ทำให้ข่าวที่ถูกปั่น ก็ยังเป็นแค่ “ข่าว” ต่อไป ยังไม่มี “ข้อเท็จจริง” ปรากฏตามมา
อย่างไรก็ดี งานนี้ก็ยังไม่อาจมองมาเลเซียในแง่ลบได้ เพราะจะว่าไปมาเลเซียเองก็ต้องการร่วมมืออย่างเต็มที่กับไทย เพื่อสกัดกั้นขบวนการค้ามนุษย์ และขบวนการนำพาอุยกูร์ ซึ่งระยะหลังสยายปีกแผ่อิทธิพลกว้างขึ้นทุกที ขณะที่การสร้างสถานการณ์ในลักษณะก่อวินาศกรรม หรือก่อการร้าย ในปัจจุบันก็ทำกันได้ง่ายๆ แค่เปิดคลิปศึกษาใน YouTube
ฉะนั้นมาเลเซียก็ผวากับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น้อยไปกว่าไทย ที่ผ่านมาจึงพยายามจับกุมและสกัดกั้นเส้นทางเชื่อมต่อของขบวนการเหล่านี้ในมาเลเซียที่โยงถึงไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในอาเซียน
สอดรับกับผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานความมั่นคงไทยที่สอบลึกในคดีลอบวางระเบิดกลางกรุงเทพฯ และได้ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมอีกหลายประการ เช่น ระเบิดที่ราชประสงค์ไม่ใช่เป้าหมายเดียวที่กลุ่มคนร้ายต้องการทำ แต่ยังมีศักยภาพทำได้อีกหลายจุด หนำซ้ำยังทำได้ในหลายพื้นที่ ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ แต่เป็นเมืองใหญ่ของประเทศอื่นรอบบ้านไทยด้วย
เพราะเครือข่ายที่แฝงมากับขบวนการค้ามนุษย์ และขบวนการนำพา สยายปีกครอบคลุมหลายประเทศในแถบนี้
เหตุระเบิดที่ราชประสงค์ ก็ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานความมั่นคงแล้วว่า ไม่ใช่ “ลูกแรก” แต่เป็นระเบิด “ลูกสอง” ที่ถูกนำไปวางเมื่อลูกแรกผิดพลาด โดยระเบิดลูกแรกตั้งเป้าโจมตีที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในฝั่งธนบุรี ซึ่งมีผู้คนและนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน แต่เคราะห์ดีที่ระเบิดด้าน มิฉะนั้นน่าจะก่อความเสียหายหนักกว่าที่ราชประสงค์
ทว่าเมื่อลูกแรกพลาด ก็นำไปสู่การวางระเบิดลูกสอง และเกิดการระเบิดที่สมบูรณ์ 100% ที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม ทำให้มีการนำระเบิดลูกแรกไปทิ้งน้ำที่ท่าเรือสาทรโดย “ชายเสื้อฟ้า” จากนั้นไม่ทราบว่าวงจรระเบิดช็อตหรืออย่างไร จึงเกิดระเบิดขึ้นจากใต้น้ำในวันถัดมา
ทั้งนี้ “ชายเสื้อสีฟ้า” นั้น มีหลักฐานหนีข้ามไปมาเลเซียอย่างแน่นอน เพราะเจ้าหน้าที่ไทยจับ “ทีมพาหนี” ได้ดังที่กล่าวในตอนต้น แต่ไม่ชัดเจนว่าขณะนี้ยังกบดานอยู่ หรือหนีไปประเทศที่สามแล้ว
ส่วน “ชายเสื้อเหลือง” ไม่มีหลักฐานหลบหนีไม่ว่าจะใช้เส้นทางไหน แต่พบหลักฐานมีการนำเสื้อผ้าไปเปลี่ยนที่สวนลุมพินีหลังเกิดระเบิด ล่าสุดจึงมีสมมติฐานใหม่ว่า “ชายเสื้อเหลือง” อาจยังคงหลบหนีแทรกซึมอยู่ในเมืองไทย
และที่สำคัญอาจเป็น 1 ใน 2 คนที่ถูกจับกุมได้แล้วก็เป็นได้ เพราะเขาใช้วิธีปลอมตัว อำพรางตัว เข้าไปปฏิบัติการ!
มีคนแนะให้สังเกตว่า เหตุใดจึงต้องเปิดมณฑลทหารบกที่ 11 เป็นเรือนจำพิเศษสำหรับคุมขัง 2 ผู้ต้องหาคนสำคัญอย่าง อาเดม คาราดัก หรือ บิลาล เติร์ก มูฮำหมัด และ นายเมอไรลี่ ยูซุฟู รวมไปถึงทีมพาหนี ทีมสนับสนุนที่ถูกควบคุมตัวโดยไม่เป็นข่าว
หรือฝ่ายทหารได้ข้อมูลลึกมากกว่าที่เป็นข่าว จนใกล้คลี่ปมคดีได้ทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะ “ชายเสื้อเหลือง” เป็นใครกันแน่
เพราะเขาอาจไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ปรากฏรูปปรากฏภาพผ่านสื่ออยู่บ่อยๆ นี่เอง!