รบ.แถลงผลงาน 2 ปี หลังปีใหม่คลอดประชานิยมล็อตใหญ่
นายกฯแถลงผลงานรัฐบาล โชว์สานต่อประชานิยมโดนใจคน-ลดความเหลื่อมล้ำ ชูเรียนฟรี ค่าครองชีพฟรี เบี้ยคนชรา แก้หนี้นอกระบบ ประกันรายได้เกษตรกร โฉนดชุมชน นำร่องแผนจัดการน้ำยั่งยืนป้องภัยพิบัติ เผยหลังปีใหม่ออกมาตรการประชานิยมใหม่
วันที่ 24 ธ.ค.53 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 2 ปีรัฐบาลว่า รัฐบาลเข้ามาบริหารในช่วงประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติ ความกังวลว่าผลพวงจากเศรษฐกิจโลกจะพาไทยเข้าสู่วิกฤติฟองสบู่เหมือนปี 2540-2541 รวมทั้งความแตกแยกทางการเมือง แต่รัฐบาลตั้งเป้าทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและมั่นคง พร้อมลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยลดภาวะว่างงานจากร้อยละ 2.4 หรือเกือบ 9 แสนคนเหลือ 0.9 หรือ 3 แสนกว่าคน ยังมุ่งลดรายจ่าย เช่น นโยบายเรียนฟรี 15 ปีครอบคลุมเด็ก 12 ล้านคน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุครอบคลุมผู้ที่ไม่มีหลักประกันสังคม 5.7 ล้านคน เบี้ยคนพิการ 8 แสนคน เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือรักษาฟรี ให้ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยังสร้างหลักประกันความมั่นคงแก่ประชาชนกลุ่มใหญ่โดยการประกันรายได้เกษตรกรครอบคลุม 4 ล้านครัวเรือน ทำให้ราคาพืชผล เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์ม ยางพาราเพิ่มขึ้น มีการลดรายจ่ายประชาชนจากนโยบายใช้ไฟฟ้า น้ำประปา รถเมล์รถไฟฟรี ตรึงราคากาซหุงต้ม โครงการแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบมีผู้เข้าร่วมกว่า 1 ล้านราย แก้ปัญหาแล้ว 450,000 ราย
“รัฐบาลผลักดันนโยบายที่ทำกิน กำลังเดินหน้าออกโฉนดชุมชน ล่าสุดอนุมัติจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ซึ่งสะท้อนว่าได้แก้ปัญหารากฐานโครงสร้างเพื่อดูแลประชาชนให้ทั่วถึงมากที่สุด”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเศรษฐกิจขยายตัวเกือบร้อยละ 8 ในปี 2553 เป็นการฟื้นตัวเร็วและเข้มแข็งจากฐานราก แม้จะสะดุดในช่วงเหตุการณ์ไม่สงบ เม.ย-พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็กลับมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และปี 2554 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 25 ส่วนที่มีการพูดว่ารัฐบาลใช้จ่ายเกินตัวทำให้เกิดความเสี่ยงนั้น ความจริงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เงินเฟ้อไม่สูงขึ้น ได้ดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัด หนี้สาธารณะอยู่ในระดับต่ำมาก
รัฐบาลยังได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส เช่น เหตุการณ์รุนแรงที่ผ่านมานำไปสู่การปฏิรูปประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสื่อ ส่วนวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่นอกจากมาตรการเฉพาะหน้าซึ่งการจ่ายเงินช่วยเหลือรวดเร็วและฟื้นฟูเยียวยา กำลังทำแผนบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและเชื่อมโยงกับประชาชนพื้นที่ โดยนำร่องที่นครราชสีมา ลพบุรี หาดใหญ่ นอกจากนี้ปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดก็ได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ออกประเภทโครงการที่มีผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน และจะนำไปเป็นบทเรียนกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ไม่ให้เป็นอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษ อาจยึดความต้องการประชาชนในพื้นที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมการเกษตร ภาคบริการการท่องเที่ยว
“ไม่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรือจัดเลือกตั้ง การทำงานจะไม่หยุด แนวทางเพื่อวางอนาคตประเทศสิ่งแรกจะเน้นขบวนการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่อง หัวใจคือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แก้ความเหลื่อมล้ำ มีมาตรการ 4 ด้าน 1.ระบบเศรษฐกิจ 2.ระบบสวัสดิการ 3.กระบวนการยุติธรรม 4.ระบบการศึกษา”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าด้านเศรษฐกิจได้ทำ “โครงการเร่งรัดปฏิบัติการเพื่อคนไทย” มุ่งลดค่าครองชีพและความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยหลังปีใหม่จะประกาศมาตรการในรายละเอียด แต่เบื้องต้นยังคงมีเรื่องลดค่าไฟ กาซหุงต้ม น้ำมัน แก้ปัญหากลไกไม่ให้สินค้าราคาแพง และจะผลักดันกฎหมายภาษีที่ดินและทรัพย์สิน มีการขยายสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โภชนาการแม่และเด็ก การแก้ปัญหาท้องไม่พร้อม การขยายศูนย์เด็กเล็กให้ครบทุกตำบล การสร้างยุติธรรมชุมชนเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระดับชุมชน
“กองทุนการออมแห่งชาติ ขณะนี้กฎหมายผ่านวาระ 1 และการพิจารณาของกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร ปูทางไปสู่การที่พี่น้องประชาชนจะได้มีโอกาสมีบำเหน็จบำนาญบ้าง”
เรื่องปฏิรูปการศึกษาที่จะทำต่อคือช่วยกลุ่มคนที่ยังตกหล่นจากโอกาสทางการศึกษาอีกจำนวนมาก ทั้งเด็กในชนบทห่างไกล เด็กพิการ รวมทั้งประชาชนด้อยโอกาส และจากการที่มีโครงการคืนครูให้นักเรียนแล้ว จะมีโครงการครูสอนดี โดยดึงท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามาร่วม
ส่วนปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าแม้ไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจ แต่พยายามจะให้ทุกฝ่ายเข้าใจกันมากขึ้นบนหลักการประชาธิปไตย กฎหมาย และไม่ใช้ความรุนแรง
“ผมเชื่อว่าเราจะหลุดพ้นจากความขัดแย้งได้ ปีหน้าผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมจะมีความคืบหน้าให้คำตอบความเป็นธรรมต่อการละเมิด ต่อการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกันปีหน้าผมพูดไว้ชัดเจนว่าจะเร่งจัดการเลือกตั้ง เพื่อเป็นกระบวนการประชาธิปไตยคลี่คลายความขัดแย้งต่อไป” .