"อักษรา"ออกตัว คุ้มครองทางกฎหมาย "มาราฯ" ต้องพิจารณารอบคอบ
พลเอกอักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ในฐานะหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้เปิดแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2558 หลังจากกลุ่ม มารา ปาตานี เปิดตัวต่อสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศที่มาเลเซีย 1 วันว่าเป็นองค์กรตัวแทนพูดคุยดับไฟใต้กับรัฐบาลไทย
พร้อมกันนี้ พลเอกอักษรา ได้แจกจ่ายเอกสารคำแถลงของตนเอง ความว่า "การพูดคุยสันติสุขนั้นได้มีการพูดคุยกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่เหตุที่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้นั้น เพราะยังอยู่ในขั้นการสร้างความไว้วางใจ และมีผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะในห้วงเดือนรอมฎอนและวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา
คณะพูดคุยฯ ต้องการให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปฏิบัติศาสนกิจด้วยความเรียบร้อย ปลอดภัย และก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกลุ่มผู้เห็นต่างทุกกลุ่ม ผมต้องถือโอกาสนี้ขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัด, ท่านแม่ทัพภาคที่ 4, ท่านผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, ท่านผู้นำศาสนา, ผู้นำท้องถิ่น, ท้องที่, นักวิชาการ และภาคประชาชนทุกกลุ่มอาชีพที่ร่วมมือกันสร้างสันติสุขในพื้นที่
ทั้งนี้การพูดคุยที่ได้ดำเนินการมาจนถึงปัจจุบันนั้น ได้ยึดถือกรอบนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอำนวยการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด ทำให้เกิดความก้าวหน้า และทุกครั้งที่คณะพูดคุยฯได้มีการพบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ท่านนายกรัฐมนตรีก็จะให้ข้อสั่งการ ข้อเน้นย้ำ และข้อห่วงใยทุกครั้ง โดยครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านก็ได้เน้นในเรื่องความจริงใจของรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกเรื่องตามที่ประชาชนต้องการ และอยากให้กลุ่มผู้เห็นต่างฯ ร่วมมือกับคณะพูดคุยฯ เพื่อนำไปสู่สันติสุขของประชาชนในพื้นที่ให้มีความมั่นคงปลอดภัย
ผมขอเรียนถึงข้อเสนอของฝ่ายเรา (รัฐบาลไทย) ทั้ง 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยของพื้นที่ การพัฒนาในพื้นที่เฉพาะเรื่องสำคัญที่ต้องรีบทำก่อน รวมทั้งการให้โอกาสทุกคนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมโดยเท่าเทียมกัน โดยจะเห็นได้ว่าทั้ง 3 ข้อล้วนทำเพื่อ "ประโยชน์ของประชาชน" ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำเพื่อชื่อเสียงของคณะพูดคุยฯแต่อย่างใด
ดังนั้นฝ่ายเราจึงต้องการความร่วมมือจากกลุ่มผู้เห็นต่างฯ ช่วยบอกเราว่าต้องการอะไร ตรงไหน อย่างไร เพราะเขามักอ้างเสมอว่าเป็นผู้แทนปวงชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้าเป็นจริงก็สมควรร่วมมือกับเรา บอกสังคมไปเลยว่าเราจะทำกันแบบนี้ ประชาชนจะสะท้อนความเป็นจริงออกมาเองว่าเห็นด้วยหรือไม่
สำหรับโครงสร้าง "มารา ปาตานี" และข้อเรียกร้องของเขานั้น เป็นเรื่องปกติที่เขาต้องออกมาพยายามอธิบายให้สังคมเข้าใจ เพราะสาเหตุเกิดจากการที่สื่อมวลชนชอบไปกล่าวถึงเขาบ่อยๆ แต่ไม่ถูกต้อง และยังพยายามวิเคราะห์ลงรายละเอียดอีก แต่ก็ยังไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ดังนั้นเขาจึงต้องออกมาชี้แจง
ส่วนข้อเรียกร้องก็เป็นเรื่องที่เขาห่วงกังวลเกี่ยวกับสถานะขององค์กรเอง คือ "การให้เรายอมรับองค์กร มารา ปาตานี" และ "การเสนอให้การพูดคุยเป็นวาระแห่งชาติ" เพราะห่วงเรื่องความต่อเนื่อง รวมทั้ง "การขอความคุ้มครองทางกฎหมาย" เนื่องจากสมาชิกหลายคนยังมีคดีความติดตัว
สรุปคือเขาต้องการให้เรารับรองความถูกต้องชอบธรรมของ "มารา" ก่อนนั่นเอง โดยยังไม่ได้กล่าวถึงความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งแตกต่างจากข้อเสนอทั้ง 3 ข้อของฝ่ายไทยที่ได้นำเรียนท่านนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว โดยมุ่งเน้นทำเพื่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี คณะพูดคุยฯ ได้มีคำตอบทั้ง 3 ข้ออยู่แล้ว ดังนี้คือ การยอมรับในองค์กรนั้น เราให้การยอมรับอยู่แล้วในฐานะ Party B ที่มาร่วมพูดคุยสันติสุข แต่องค์กรจะได้รับการยอมรับจากสังคมหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับแนวทางต่อสู้ขององค์กรว่าใช้แนวทางใด ระหว่างการใช้ความรุนแรงหรือสันติวิธี ถ้าหาก "มารา" เองยืนยันในแนวทางสันติ ก็ย่อมได้รับการสนับสนุนยอมรับจากประชาชนเช่นเดียวกัน เพราะโดยข้อเท็จจริงประชาชนไม่ได้สนับสนุนคณะพูดคุยฯ ทั้ง Party A (คณะพูดคุยฯ ฝ่ายรัฐบาลไทย) และ Party B แต่เขาสนับสนุนแนวทางสันติวิธี (ผลสำรวจความคิดเห็นของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในห้วงเดือน ส.ค.58)
ในเรื่องขอให้การพูดคุยสันติสุขเป็นวาระแห่งชาติ คงต้องอธิบายอีกครั้งว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติได้กำหนดนโยบายในเรื่องนี้ให้มีความต่อเนื่องไว้แล้ว (นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2558-2564) โดยคณะพูดคุยฯ ฝ่ายไทย (Party A) ก็ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยผู้แทนส่วนราชการในตำแหน่งหลักที่มีความสำคัญ และไม่ติดยึดกับตัวบุคคล เพราะเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และฝ่าย "มารา" (Party B) ก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องจัดผู้แทนมาร่วมพูดคุยกับเราในจำนวนสมาชิกที่เท่ากัน จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการเป็นวาระแห่งชาติและความต่อเนื่อง
โดยจะเห็นได้ว่าทุกรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด สังเกตจากการมีนโยบาย, มียุทธศาสตร์ และมีคณะกรรมการหลายคณะ ตลอดจนยังได้ตั้งงบประมาณประจำปีไว้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการเป็นวาระแห่งชาติ
สำหรับเรื่องสุดท้าย คือ การคุ้มครองให้ความปลอดภัยทางกฎหมาย หรือ "Immunity" ที่พูดถึงกันบ่อยนั้น ในเรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ โดยต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะจะมีผลทางกฎหมาย และความร่วมมือของส่วนราชการด้านความมั่นคงหลายหน่วยงานที่จะผิดพลาดหรือเลือกปฏิบัติไม่ได้ ทุกคนย่อมได้สิทธิเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายไทย
โดยในเรื่องนี้จำเป็นต้องจัดตั้ง Joint Working Group หรือ "คณะทำงานร่วม" ขึ้นมาเพื่อจัดทำร่างรายละเอียดของการดำเนินการให้ตรงความต้องการของทุกฝ่ายต่อไป โดยท่านนายกรัฐมนตรีพร้อมยินดีให้การสนับสนุน
กล่าวโดยสรุป ผมในฐานะหัวหน้าคณะพูดคุยฯ ต้องกราบขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ได้กรุณามอบนโยบายและให้ข้อสั่งการ ให้คำแนะนำ ตลอดจนข้อเน้นย้ำมาโดยตลอด จนคณะพูดคุยประสบความก้าวหน้ามาโดยลำดับที่สามารถดึงทุกกลุ่ม ทุกพวก และทุกฝ่ายมาอยู่บนโต๊ะพูดคุยเพื่อสันติสุขได้สำเร็จ และต้องขอขอบคุณ Party B ที่ให้ความร่วมมือ และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกท่านที่ผลสำรวจความเห็นยังให้การสนับสนุนการพูดคุยฯ
โดยตัวผมตระหนักดีเสมอว่าประชาชนทุกศาสนา ทุกกลุ่มอายุ และอาชีพในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นที่จะเป็นคำตอบสุดท้ายต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะทุกฝ่ายต่างล้วนกล่าวอ้างความต้องการของประชาชนในพื้นที่ทั้งสิ้น ดังนั้นความร่วมมือของพี่น้องประชาชนจึงมีความสำคัญต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง และสุดท้ายคงต้องขอขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวก และสื่อมวลชนทุกท่านครับ"