ส่องวอร์รูมศูนย์บัญชาการไล่ล่า “มือระเบิดราชประสงค์” รบ.ประยุทธ์
"..ล่าสุดมีการนัดหมายประชุม “ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” ทุกวัน วันละ 1 ครั้ง จากเดิมที่เสนอกันว่าควรประชุมติดตามสถานการณ์วันละ 2 ครั้ง แต่มีข้อเสนอว่าควรให้เวลาเจ้าหน้าที่ลงไปหาข่าว-หาข้อมูลมากกว่า จึงเคาะกันลงตัวที่ประชุมวันละ 1 ครั้ง โดยจะใช้สถานที่สโมสรทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ร.1 พัน 4 รอ. เป็นสถานที่จัดการประชุม.."
หลังเกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดใจกลางกรุงเทพมหานคร บริเวณสี่แยกราชประสงค์ รัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ที่ตกอยู่ในฐานะเป็นฝ่ายตั้งรับเรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยทันที
โดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต่อสายตรงไปยัง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกประชุมที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ภายในกรมทหาราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร1 รอ.)
ช่วงเวลาเกือบ 2 ทุ่มของวันที่ 17 สิงหาคม “หัวขบวน” หน่วยงานความมั่นคงเกือบทุกหน่วยนั่งพร้อมหน้า เพื่อประเมินสถานการณ์ให้ “บิ๊กป้อม” รับรู้ข้อมูลเพื่อประเมินสถานการ์ให้ได้มากที่สุด
ทว่า “หน่วยข่าว” ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล ใช้ปฏิบัติการทางลับมาโดยตลอด อาทิ หน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.) ที่มี “พล.ต.กนิษญ์ ชาญปรีชญา” เป็นผบ.ขกท. สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ที่มี “ฉัตรพงษ์ ฉัตรราคม” ผอ.ข่าวกรอง “พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย” ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้รายงานบนโต๊ะประชุมว่า ไม่พบความเคลื่อนไหวในลักษณะที่จะก่อเหตุระเบิดมาก่อน!!!
“เราไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มหรือบุคคลที่เข้ามาก่อเหตุมาก่อนว่ามีความสัมพันธ์กับกลุ่มใด หน่วยข่าวได้เฝ้าระวังอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้” แหล่งข่าวระบุ
ทำให้วงประชุมที่เต็มไปด้วย “หน่วยข่าว” ทำได้เพียงนำ “ข้อมูลเก่า” มาสรุปสถานการณ์และเชื่อมโยงตัวละครที่จะมีความเป็นได้เสนอต่อที่ประชุม
ก่อนตัดสินมอบหมายให้ “ทีมโฆษกรัฐบาล-คสช.” ชี้แจงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศ
ก่อนที่วงประชุมที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ จะแยกย้ายกันกลับบ้านในเวลาเกือบเที่ยงคืนครึ่ง ซึ่งทุกคนได้รับโจทย์เหมือนกัน คือ ต้องวิเคราะห์และหาข่าวทางลับที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดกลับมานำเสนอให้ได้
ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 18 สิงหาคม เวลา 10.00 น. ภายหลังการประชุมครม. “พล.อ.ประวิตร” เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯอีกครั้ง เพื่อจัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” ขึ้นในร.1 รอ. โดยมอบหมายให้ “พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร” รมช.กลาโหม และผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคสช. เป็นหัวหน้าคณะ
โดย “รัฐบาล” ตัดสินใจเลือกใช้กลไกของ “คสช.” ที่มีโครงสร้างอยู่แล้ว และหน่วยงานราชการด้านความมั่นคงที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ไม่ได้จัดตั้งกลไกพิเศษขึ้นมาใหม่ เหมือนอย่างที่หลายประเทศเคยใช้
ล่าสุดมีการนัดหมายประชุม “ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” ทุกวัน วันละ 1 ครั้ง จากเดิมที่เสนอกันว่าควรประชุมติดตามสถานการณ์วันละ 2 ครั้ง แต่มีข้อเสนอว่าควรให้เวลาเจ้าหน้าที่ลงไปหาข่าว-หาข้อมูลมากกว่า จึงเคาะกันลงตัวที่ประชุมวันละ 1 ครั้ง
โดยจะใช้สถานที่ สโมสรทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ร.1 พัน 4 รอ. เป็นสถานที่จัดการประชุม
หากย้อนกลับไปในอดีต สโมสรทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ร.1 พัน 4 รอ. เคยถูกใช้เป็นวอร์รูมเพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2552 มาแล้ว
ส่วนอีกกระแสข่าวอีกทางหนึ่งคือช่วงแรก “รัฐบาล” อยากใช้ “กองทัพภาคที่ 1” เป็นศูนย์บัญชาการ แต่มีข้อท้วงติงว่ามีสามารถเดินทางเข้าออกได้ง่าย และอาจจะถูกจับตาได้ง่าย สุดท้ายจริงเลือกทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ร.1 พัน 4 รอ.แทน ด้วยเหตุผลที่เข้าออกยากกว่า?
โดยทุกวันหลังจากนี้ “หน่วยงานความมั่นคง” จะส่ง “ตัวแทน” เข้าไปรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ “ข่าวลับ” เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกันมากที่สุด เพื่อป้องกันประเทศไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง
ส่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะการไล่ล่าหาตัว "มือวางระเบิด" ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ และการรับมือแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศหลายด้านที่ตามมาไปพร้อมๆ กัน คงต้องรอพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป