เปิดความเห็น “รัฐไทย VS. ฝ่าหลุนกง” ในคำตัดสินศาลปค.-"จีน" ขอเคลียร์ "บิ๊กตู่"
“…พรรคคอมมิวนิสต์จีนโหมโฆษณาชวนเชื่อออกไปนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง อาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียม สถานทูต สถานกงสุล รวมทั้งชุมชนชาวจีนในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทยด้วย เช่น หอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋ว เป็นต้น โดยเฉพาะสมาคม 55 ตระกูลแซ่ในประเทศไทย ปลุกระดมให้เกลียดชังฝ่าหลุนกง ใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจ และการเมือง กดดันรัฐบาลไทยไม่ให้รับจดทะเบียนสมาคม เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนายไพฑูรย์กับพวกซึ่งเป็นคนไทย…”
เป็นอันว่า “สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย” สามารถยื่นจัดตั้งสมาคมขึ้นในประเทศไทยได้ !
ภายหลังศาลปกครองสูงสุด ได้กลับคำพิพากษา ศาลปกครองชั้นต้น ที่เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ที่ไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงฯ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ รมว.มหาดไทย ที่ยกอุทธรณ์ของนายไพฑูรย์ สุรยะวงศ์ไพศาล กับพวกรวม 3 ราย ผู้ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงฯ
(อ่านประกอบ : "จีน" รุดพบ "บิ๊กตู่" หลังศาลปค.สูงสุดพิพากษา"ฝ่าหลุนกง" ยื่นตั้งส.ในไทยได้)
แต่ที่น่าสนใจคือ “สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงฯ” คือองค์กรอะไร และทำไมถึงต้องจัดตั้งในประเทศไทย
รวมถึงมีความสำคัญทางการเมือง-ทางการทูต ระหว่าง “ไทย” และ “จีน” อย่างไร ?
เพื่อขยายความให้ชัดขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดบางห้วงบางตอนมาเผยแพร่ ดังนี้
คดีนี้ นายไพฑูรย์ นางพนิดา วัยมหสุวรรณ และ น.ส.ชัชชลัยย์ สุทธาคณัฏฐ์ ได้ยื่นฟ้องนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพฯ และ รมว.มหาดไทย
เบื้องต้น นายไพฑูรย์ กับพวก ระบุว่า ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการฝึก “ชี่กง” แบบ “ฝ่าหลุนกง” เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข่าวสารแก่สมาชิกและบุคคลทั่วไป เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ฝึก ให้ข้อมูลข่าวสาร ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองศาสนาหรือลัทธิใด ๆ และไม่มีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และไม่แสวงหากำไร
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 1673/202 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม. มีสมาชิกแรกเริ่มจำนวน 13 คน คณะกรรมการแรกเริ่มของสมาคมมีจำนวน 5 คน
แต่ปรากฏว่า นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพฯ เห็นว่า หากดำเนินการรับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมให้ในห้วงเวลานี้ย่อมสะท้อนถึงภาพการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของ “กลุ่มฝ่าหลุนกง” ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและอาจจะเกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติโดยรวมได้ จึงยังไม่สมควรอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมดังกล่าว
นอกจากนี้นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพฯ ได้รับข้อมูลในทางลับเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มฝ่าหลุนกงในประเทศไทย โดยสมาชิกฝ่าหลุนกง กลุ่มอุทยานเบญจสิริ นำโดยนายนภดล เอกบุศย์ มักจะมีแนวทางการเคลื่อนไหวประท้วงผู้นำรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มาเยือนประเทศไทย และกล่าวหาว่าทางการจีนจับกุมและทรมานสมาชิกฝ่าหลุนกงในจีน
โดยเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2548 กลุ่มฝ่าหลุนกงในไทยได้เคลื่อนไหวสาธิตที่ทางการจีนทรมานกลุ่มฝ่าหลุนกง ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างผลงานให้ผู้นำลัทธิฝ่าหลุนกงเห็นว่า สมาชิกฝ่าหลุนกงในไทยได้พยายามเผยแพร่ลัทธิดังกล่าวอย่างเต็มที่ เพราะก่อนหน้านี้ “หลี่ หงจื้อ” (ศาสดาของลัทธิฝ่าหลุนกง) ได้ตำหนิว่า ไทยมีผู้สนใจลัทธิฝ่าหลุนกงน้อย และการตั้งชื่อสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทยเพื่อให้เห็นว่า การตั้งสมาคมครั้งนี้เน้นด้านการศึกษาและวิชาการ รวมทั้งผู้ก่อตั้งเป็น “อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อป้องกันการขัดขวางจากทางการจีน
นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพฯ เห็นว่า จึงไม่ควรอนุญาตให้กลุ่มฝ่าหลุนกงในไทยตั้งสมาคมฯ เพราะอาจใช้สมาคมเป็นเวทีในการโจมตีรัฐบาลจีน กรณีการจับกุมสมาชิกฝ่าหลุนกง ซึ่งจะกระทบความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-จีน รวมถึงได้ขอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐในประเทศเพิ่มเติม (สำนักข่าวอิศราคัดเลือกมาพอสังเขป) ดังนี้
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ให้ความเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะข้อมูลด้านการข่าวในเชิงลึก จึงมีการนำเรื่องนี้หารือในส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อพิจารณาแล้วมีข้อคิดเห็นร่วมกันว่า
1.สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย ยื่นคำร้องเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ไม่เกี่ยวข้องการเมือง ศาสนา และลัทธิใด ๆ แต่พฤติการณ์ความเคลื่อนไหวของผู้ก่อตั้งที่ผ่านมาเป็นไปโดยมีจุดประสงค์ทางการเมือง ทำให้ไทยถูกกล่าวหาว่าเป็นฐานให้กับกลุ่มการเมืองใช้เคลื่อนไหวปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลอื่น ไมเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2.ลัทธิฝ่าหลุนกงมีคำสอนบางส่วนไม่เหมาะสม บิดเบือนศาสนาพุทธ อันอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในหมู่ศาสนิกชน ซึ่งถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยในสังคม
3.พิจารณาถึงผลดี ผลเสีย และผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เห็นว่า ไม่ควรอนุญาตให้จัดตั้งสมาคมดังกล่าว
กระทรวงการต่างประเทศ
ชี้แจงว่า รัฐบาลจีนได้ประกาศให้ลัทธิฝ่าหลุนกงเป็นองค์กรผิดกฎหมายตั้งแต่ ก.ค. 2544 เนื่องจากผู้ฝึกวิชาตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของ “หลี่ หงจื้อ” (ปัจจุบันลี้ภัยทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา) ที่ใช้ในการต่อต้านรัฐบาลจีน และทางการจีนถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ และได้ปราบปรามอย่างหนัก และรัฐบาลจีนได้ดำเนินการทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ เพื่อมิให้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มลัทธิดังกล่าว
ทั้งนี้รัฐบาลจีนกังวลต่อความเคลื่อนไหวของลัทธิฝ่าหลุนกงในไทย โดยเกรงว่ากลุ่มดังกล่าวจะใช้โอกาสประชุมหรือรวมกลุ่มฝ่าหลุนกรงจากประเทศต่าง ๆ โจมตีจีน และหากกลุ่มดังกล่าวเคลื่อนไหวในไทย อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนได้ นอกจากนี้สมาคมจีนที่สำคัญและมีอิทธิพลต่อกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน เช่น หอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋วในประเทศไทย เป็นต้น ได้แสดงท่าทีต่อต้านกิจกรรมของกลุ่มฝ่าหลุนกงในไทยตลอด
และแม้อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่หลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ ซึ่งอาจมีนัยทำให้รัฐบาลจีนเข้าใจว่ายินยอมให้กลุ่มต่อต้านจีนใช้ดินแดนของไทยเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ที่ดำเนินมาอย่างราบรื่น
สำนักงานตำรวจสันติบาล
ชี้แจงและให้ความเห็นว่า การจัดตั้งสมาคมนี้เพื่อให้เป็นองค์กรนิติบุคล และยอมรับต่อประชาชน นำไปสู่การหาสมาชิกให้เข้าร่วมมากขึ้น แต่ปัจจุบันฝ่าหลุนกงในไทยไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับจากบุคคลทั่วไป เพราะเห็นว่าเป็นองค์กรผิดกฎหมาย มีสมาชิกค่อนข้างน้อย การจัดกิจกรรมใด ๆ มักถูกหน่วยงานราชการเข้าไปตรวจสอบเสมอ โดยกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะสมาคม 55 ตระกูลแซ่ในไทย ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงทางการค้ากับจีน ไม่ให้การยอมรับฝ่าหลุนกง และเคยเคลื่อนไหวต่อต้านมาแล้ว
นอกจากนี้รัฐบาลจีน ได้ทำการจับกุมและปราบปรามฝ่าหลุนกงในประเทศตัวเองมาโดยตลอด ขณะเดียวกันได้ขอความร่วมมือไปยังประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยให้ดำเนินการยับยั้งกลุ่มฝ่าหลุนกงไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลจีน ซึ่งไทยให้ความร่วมมือด้วยดีตลอดมาอีกด้วย
มาฟังคำชี้แจงของ นายไพฑูรย์ กับพวก ที่ขอจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย กันบ้าง ?
นายไพฑูรย์ กับพวก ระบุว่า สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ความมั่นคง หรือความสัมพันธ์กับประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยผู้ฝึกยึดมั่นในหลักคำสนอของ “หลี่ หงจื้อ” ในเรื่องความจริง ความเมตตา ความอดทน โดยคำสอนของ “หลี่ หงจื้อ” ระบุไว้ว่า ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ส่วนผู้ฝึก ต้องละจิตจากการยึดติดต่าง ๆ การเมืองจึงเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกทั่วโลกไม่ใส่ใจเลย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งคนจำนวนมากมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
การที่สื่อมวลชนและรัฐบาลบางประเทศกล่าวเรื่องนี้ เพราะมีการประทุษร้ายผู้ฝึกฝ่าหลุนกงในจีนตั้งแต่ ก.ค. 2542 เนื่องจากลัทธินี้ได้รับความนิยมจนมีผู้ฝึกประมาณ 100 ล้านคน ภายใน 7 ปี ซึ่งมากกว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงเป็นเหตุให้ผู้นำคอมมิวนิสต์ในเวลานั้นสั่งห้ามการฝึกและสั่งปราบปรามผู้ฝึก ซึ่งนโยบายนี้ไม่ได้มีแค่ในจีน แต่ยังแผ่อิทธิพลออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยวิธีการให้ข่าวเท็จ โฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมทั้งภายในและนอกประเทศจีน เพื่อทำลายชื่อเสียง ยุยงปลุกปั่นให้คนเกลียดชังและเข้าใจผิด
สำหรับผู้ฝึกในไทยเป็นคนที่รักสงบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การขัดขวางของสถานทูตจีนทำให้ถูกจำกัดสิทธิหลายอย่าง ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ได้รับจากสถานทูตจีน เป็นข้อมูลเท็จทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับฝ่าหลุนกง ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจกดดันรัฐบาลไทย
ปัจจุบันมีผู้ฝึกฝ่าหลุนกงใน 80 ประเทศทั่วโลก มีการก่อตั้งสมาคมที่เกี่ยวข้องกับฝ่าหลุนกงในหลายประเทศ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่มีการค้าและความสัมพันธ์กับประเทศจีน การก่อตั้งสมาคมของฝ่าหลุนกงจึงไม่มีผลกระทบใด ๆ ทางการค้า และทางด้านสิทธิมนุษยชน และไม่มีเหตุที่จะกล่าวอ้างเกี่ยวกับผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากมีการจัดตั้งสมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงขึ้นในไทย ฝ่าหลุนกงเริ่มเผยแพร่เข้ามาไทยในปี 2539 โดยมีการรวมตัวฝึกเป็นประจำที่สวนลุมพินีต่อเนื่องมายาวนานถึง 9 ปี ไม่เคยปรากฏว่ามีใครได้รับความเดือดร้อนดังกล่าว
นอกจากนี้ นายไพฑูรย์ กับพวก ระบุด้วยว่า การอ้างว่าลัทธินี้บิดเบือนศาสนาเป็นข้อกล่าวอ้างเลื่อนลอย เพราะหลักการสำคัญคือให้ผู้ฝึกยึดถือความจริง มีเมตตา ซึ่งสอดคล้องกับหัวใจของพุทธศาสนา และไม่มีประเด็นทางการเมือง
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจสันติบาลอ้างว่า จีนประกาศให้ฝ่าหลุนกงเป็นองค์กรที่ผิดกฎหมายตั้งแต่ ก.ค. 2544 เป็นข้ออ้างที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มาตรา 35 ที่ให้เสรีภาพในการพูด ตีพิมพ์ ชุมนุม สมาคม ฯลฯ และมาตรา 36 ให้พลเมืองของจีนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าคำสั่งปราบปรามฝ่าหลุนกงของจีนในยุคที่ “เจียง เจ๋อ หมิน” เป็นประธานาธิบดี เมื่อ ก.ค. 2544 เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติต่อรัฐธรรมนูญจีน เป็นคำสั่งที่ผิดกฎหมาย ทำให้ผู้มีบริสุทธิ์นับหมื่นต้องเสียีวิต ศีลธรรมถูกเหยียบย่ำทำลายอย่างถึงราก สังคมเกิดความแตกแยก วิบัติ หายนะ จากการปราบปรามและโฆษณาชวนเชื่อชนิดกลับขาวเป็นดำ
ทั้งนี้ ก่อนการปราบปรามดังกล่าว มีผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์หลายคนคัดค้าน เช่น อดีตประธานสภาประชาชน “เฉียว สือ” อดีตนายกรัฐมนตรี “จู หรง จี” เป็นต้น แต่ “เจียง เจ๋อ หมิน” ได้จัดตั้งหน่ยงานลับ 610 เพื่อตรวจสอบฝ่าหลุนกง แต่สุดท้ายไม่พบความผิดใด ๆ ซึ่งสอดคล้องกับคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องฝ่าหลุนกงที่ดำเนินการตรวจสอบอย่างเป็นระบบทั่วประเทศ ขณะที่ “เจียง เจ๋อ หมิน” ทำการปราบปรามอย่างป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม ไม่ดำเนินการผ่านกระบวนการยุติธรรม ผู้ฝึกจำนวนมากถูกจับส่งเข้าคุกและค่ายกักกันแรงงาน บางส่วนแม้ผ่านการพิจารณาของศาลก็ไม่มีทนายแก้ต่างให้
นอกจากนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนโหมโฆษณาชวนเชื่อออกไปนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง อาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียม สถานทูต สถานกงสุล รวมทั้งชุมชนชาวจีนในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทยด้วย เช่น หอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋ว เป็นต้น โดยเฉพาะสมาคม 55 ตระกูลแซ่ในประเทศไทย ปลุกระดมให้เกลียดชังฝ่าหลุนกง ใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจ และการเมือง กดดันรัฐบาลไทยไม่ให้รับจดทะเบียนสมาคม เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนายไพฑูรย์กับพวกซึ่งเป็นคนไทย
ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริงข้างต้นชี้ให้เห็นว่า นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพฯ และ รมว.มหาดไทย ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีอคติไม่เป็นธรรม เป็นการเลือกปฏิบัติโดยอ้างความมั่นคงของชาติ โดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์และศีลธรรมอันดีระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนจีน
ทั้งหมดคือคำชี้แจงและความเห็นระหว่าง “ไพฑูรย์-พวก” และ “หน่วยงานรัฐไทย” ที่ต่างงัดเหตุผลออกมาสู้กันในชั้นศาลปกครองสูงสุด
ก่อนที่ศาลฯจะมีคำพิพากษาให้จัดตั้ง “สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย” ได้
ล่าสุด แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศรา ว่า ตลอดระยะเวลาที่ขอจัดตั้งสมาคมศึกษาฝาหลุนกง ปรากฎเป็นคดีความขึ้น ทางการจีนไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง จึงส่งเจ้าหน้าที่มาติดตามคดีดังกล่าวอยู่ตลอด โดยประสานข้อมูลกับหน่วยงานความมั่นคงของไทย เพื่อชี้แจงกับศาลปกครองสูงสุดด้วย โดยก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะตัดสินคดีได้ชี้แจงกลับไปว่า การพิจารณาคดีนี้ไทยจำเป็นต้องยึดตามหลักกฎหมายไทย และคำนึงหลักสิทธิเสรีภาพที่ประชาชนคนไทยพึงมี
"ส่วนกรณีที่ทางการจีนไม่สบาย เพราะเกรงว่าสมาคมศึกษาฝาหลุนกงจะเผยแพร่ความคิดที่ขัดแย้งกับทางการจีน ศาลปกครองจึงได้ระบุไว้ในคำพิพากษาว่าหากสมาคมฝาหลุนกงจัดการชุมนุมให้ยุบทิ้งสมาคมฝาหลุนกงได้ทันที ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่อาจจะทำให้ทางการจีนพอใจ"แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวระบุอีกว่า ทางการจีนได้ประสานไปยังรัฐบาล เพื่อเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จริง เพื่อขอคำยืนยันเกี่ยวกับการควบคุมดูแลการจัดกิจกรรมของสมาคมศึกษาฝาหลุนกง แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะให้เข้าพบหรือไม่
ทั้งนี้หน่วยงานความมั่นคงมั่นใจว่าทางการจีนจะพอใจและเคารพคำสั่งพิพากษาของศาลปกครอง อีกทั้งความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ในช่วงที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดี
โดยเฉพาะการที่ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน จึงคาดว่าความสัมพันธ์ไทย-จีนไม่น่าจะมีปัญหา !
ทั้งหมดนี้ คือ ที่มาที่ไปเกี่ยวกับเงื่อนปมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ปัญหาการจัดตั้ง สมาคมศึกษาฝาหลุนกง ในประเทศไทย ที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนอยู่ในขณะนี้
(อ่าน "คำพิพากษาศาลปค.สูงสุด คดีฝ่าหลุนกงยื่นตั้งสมาคมได้" ได้ที่นี่ http://www.isranews.org/isra-news/item/40419-isranews_40419.html)