น้ำตาของแม่พลทหารรุสลาม...กับความจริงอีกด้าน "ลูกก๊ะไม่ได้ฆ่าตัวตาย"
“นักข่าวจากปัตตานีใช่ไหม?” คือเสียงถามของหญิงวัย 45 ปีที่กำลังนั่งคัดหัวหอมเตรียมนำไปขายที่ตลาดนัดในบ้านหลังเล็กที่ก่อด้วยอิฐบล็อคริมถนนสายโคกโพธิ์-สะบ้าย้อย เมื่อมีเสียงตอบรับว่าใช่ นางก็โผเข้าหาด้วยน้ำตานองหน้าพร้อมรำพึงรำพัน “ลูกก๊ะไม่ได้ฆ่าตัวตายนะ ช่วยแก้ข่าวให้ด้วย ก๊ะไม่อยากให้ลูกก๊ะถูกสังคมประณาม”
บ้านหลังเล็กหลังนั้นเป็นของ “ก๊ะแมะ” หรือ นางแมะ มอและ อายุ 45 ปี ตั้งอยู่ที่หมู่ 5 ต.ช้างให้ตก อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี คำว่า “ก๊ะ” เป็นสรรพนามใช้เรียกผู้หญิงที่สูงวัยกว่า และนางคือมารดาของ พลทหารรุสลาม มอและ ทหารเกณฑ์สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ที่มีข่าวก่อเหตุสลด ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ประจำกายกราดยิงใส่ผู้บังคับบัญชาจนเสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีก 4 รายคาฐานปฏิบัติการที่บ้านจำปากอ หมู่ 1 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ก่อนจะยิงตัวตายตามเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา
“ก๊ะแมะ” มีลูก 4 คน รุสลามเป็นคนโตซึ่งเกิดกับสามีเก่า ส่วนอีก 3 คนเป็นลูกกับสามีคนปัจจุบัน นางมีอาชีพค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ตามตลาดนัด ฐานะไม่ต่างจากคนหาเช้ากินค่ำทั่วไป ที่ผ่านมารุสลามคือกำลังสำคัญที่ช่วยหารายได้มาจุนเจือครอบครัว โดยเฉพาะการส่งน้องๆ 3 คนให้ได้ร่ำเรียน
เพียงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของรุสลามก็สร้างความเศร้าโศกให้กับก๊ะแมะอย่างมากมายอยู่แล้ว และยังส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของครอบครัวไม่น้อยด้วย แต่นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับข่าวที่ว่าลูกชายคนโตฆ่าตัวตาย ซึ่งนางเชื่อว่าไม่เป็นความจริง และนั่นคือเรื่องอ่อนไหวทางความรู้สึกอย่างยิ่งของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม
“ทุกครั้งที่มีคนถามถึงรุสลาม น้ำตาก๊ะจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มีความรู้สึกว่ายังรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องยอมรับมันในที่สุด แต่สิ่งที่รับไม่ได้เลยคือข่าวที่ว่าลูกชายฆ่าตัวตาย เพราะตามหลักศาสนาอิสลามห้ามเด็ดขาดในเรื่องนี้ และมันยังขัดกับสภาพศพที่ก๊ะได้เห็นด้วย เพราะหน้าอกของเขามีรอยฟกช้ำหลายจุด น่าจะถูกยิงด้วยอาวุธปืน และที่ศีรษะของเขาก็มีรอยถูกตีด้วยของแข็ง ส่วนที่ใต้รักแร้มีรอยกระสุนทะลุไปอีกข้าง ซึ่งน่าจะมาจากอาวุธปืนชนิดเดียวกัน ก๊ะสงสัยว่าถ้าเขายิงตัวตาย เขาจะใช้ปืนยาวยิงที่ใต้รักแร้ได้อย่างไร” เป็นคำถามจากคนเป็นแม่
ก๊ะแมะย้อนเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ซึ่งเป็นวันที่ข่าวร้ายมาเยือนครอบครัวของนางว่า กำนันมาที่บ้านและบอกว่ารุสลามเสียชีวิตแล้ว แต่ไม่ได้บอกถึงสาเหตุ และยังบอกอีกว่าเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะนำศพมาส่ง
“ตอนที่ได้ยินกำนันบอกว่าลูกชายตายแล้ว ก๊ะทำอะไรไม่ถูกเลย กระวนกระวายไปหมด หลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ก็นำศพมา โดยคนที่มาส่งบอกว่ารุสลามคลั่งไปยิงหัวหน้าตายแล้วถึงยิงตัวตายตาม”
แต่แล้วข้อมูลที่นางได้รับจากคนอื่นที่ไม่ใช่ทหารก็เปลี่ยนไป จึงนำมาสู่การพยายามค้นหาความจริงของนางเอง เพราะเรื่องแบบนี้หากเป็นคนศาสนาอื่นอาจจะเป็นบทสรุปที่จบลงได้ แต่สำหรับคนมุสลิมแล้วไม่ใช่...เนื่องจากมีความอ่อนไหวที่เกี่ยวกับบทบัญญัติทางศาสนา
“หลังจากนั้นมีคนมาบอกว่ารุสลามไม่ได้ยิงตัวเองตายเอง แต่ตายเพราะถูกเจ้าหน้าที่ในฐานยิง เรื่องนี้จริงๆ ก๊ะไม่ได้ติดใจอะไร เพราะว่าไปยิงเขาก่อน แต่ที่เสียใจก็คือทำไมต้องโกหกว่าเขาฆ่าตัวตาย เพราะคนอิสลามนั้นถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาป จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ก๊ะต้องการให้สื่อช่วยแก้ข่าวให้เท่านั้น คนที่ฟังข่าวจะได้รู้ความจริง สังคมอิสลามรับไม่ได้ในเรื่องนี้”
ก๊ะแมะ ยืนยัน ลูกชายของนางรักอาชีพทหาร และอาชีพนี้เปลี่ยนพฤติกรรมของรุสลามจากเด็กวัยรุ่นนอกลู่นอกทางให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
“รุสลามเคยถูกจับในข้อหาเสพกัญชาและน้ำใบกระท่อม จากนั้นก็ถูกส่งไปบำบัดที่ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดปัตตานีเป็นเวลา 40 วัน เมื่อออกมาก็ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียและติดทหาร ในช่วงที่เขาเป็นทหารนั้นเขาเปลี่ยนไปมาก จากที่ไม่เคยฟังก๊ะ ชอบเที่ยวเตร่ ตอนหลังเขาทิ้งหมด ก๊ะพูดอะไรเขาก็ฟัง ความประพฤติเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”
“เขาเคยบอกก๊ะว่าอยากเป็นทหาร บอกจะสมัครทหาร แต่ก๊ะไม่ยอม ก๊ะจึงบอกให้ไปจับใบดำใบแดงก็แล้วกัน (คัดเลือกทหาร) ถ้าได้ใบแดงค่อยไปเป็น ตอนที่ไปหยิบใบดำใบแดงเขาตะโกนดังลั่นว่า ทร.1 เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่ตกใจกันหมด บอกว่าไม่ค่อยเจอคนในพื้นที่นี้ที่อยากเป็นทหาร ปรากฏว่ารุสลามได้เป็นทหารสมใจ เพราะเขาหยิบได้ ทร.3 คืนนั้นเขาฉลองกับเพื่อนกลับบ้านตี 1 และช่วงที่ฝึกใหม่ๆ ดูเขามีความสุข เมื่อกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เขาก็ไม่กลัว เขาเคยบอกว่ากลับมาทำงานแถวบ้านก็ดี จะได้ช่วยเหลือพี่น้องเรา ในกระเป๋ากางเกงของเขามีกระปุกใส่เงินซึ่งเขาเก็บเอาไว้ไปแจกเด็กๆ ตามหมู่บ้านหรือโรงเรียน และเขาเคยบอกก๊ะว่าอยากเรียนต่อเป็นนายสิบ”
ก๊ะแมะ เล่าอีกว่า ตลอดปีเศษที่เป็นทหาร นางไม่เคยเห็นลูกชายมีอาการเครียด กระทั่งเริ่มมีอาการผิดปกติในช่วงเดือนรอมฎอน (เดือนแห่งการถือศีลอด) ที่ผ่านมา
“เวลาคุยกัน ก๊ะต้องเรียก 2-3 ครั้งกว่าจะรู้สึก และเขาเคยบอกว่าไม่อยากไปเป็นทหารแล้ว เขาบอกว่าหัวหน้าชอบแกล้งทุกเรื่อง และยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นทหารใหม่ ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะปลดแล้ว ก๊ะก็ได้แต่ปลอบว่าอย่าไปสนใจ หากทนไม่ไหวก็อ่านอัลกุรอาน เอาศาสนาเข้าช่วย อีกไม่กี่เดือนก็ปลดแล้ว ทนอีกนิด หากหนีจะลำบากกว่านี้ ทำงานอะไรก็ไม่ได้”
“ตอนนั้นในใจลึกๆ ก็เป็นห่วงลูก เพราะรู้นิสัยลูกชายคนนี้ดีว่าเป็นคนไม่ยอมคน หากเขาไม่ผิดเขาไม่มีทางยอม สมัยเรียนมัธยม ตอนนั้น ม.2 เขาถูกครูทำโทษให้ใส่ผ้าขนหนูเข้าแถวต่อหน้าผู้หญิงเนื่องจากหนีเรียน เขาโกรธมาก บอกว่าครูลงโทษเกินกว่าเหตุ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ยอมไปโรงเรียนอีกเลย”
ก๊ะแมะบอกด้วยว่า ในช่วงสุดท้ายของชีวิต รุสลามเป็นกำลังหลักของครอบครัว แบ่งเงินเดือนที่ได้จากการเป็นทหารส่งน้องเรียน โดยเฉพาะน้องคนรองที่กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
“เขาได้เงินเดือนจากการเป็นทหารประมาณ 1 หมื่นบาท เขาจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่งให้น้องที่เรียนมหาวิทยาลัย 3 พันบาท อีกส่วนหนึ่งให้แม่เก็บไว้ และส่วนที่เหลือเขาถึงจะเอาไว้ใช้ส่วนตัว รุสลามเป็นคนรักน้องมาก หากน้องๆ อยากได้อะไรเขาจะพยายามหาให้ เมื่อไม่มีเขาแล้วครอบครัวก็ต้องลำบากมากขึ้น วันที่เจ้าหน้าที่ทหารนำศพมาส่งก็ไม่รู้เป็นใครบ้างเพราะมากันเยอะ แต่มีคนหนึ่งเดินมาหาก๊ะ บอกว่ารุสลามมีเงินประกันชีวิต 2 แสนบาท เดี๋ยวเสร็จเรื่องจะโทร.หา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ติดต่อมา และจริงๆ ในใจก็ไม่ได้คิดอะไร”
ก๊ะแมะบอกทิ้งท้ายว่า หากได้เงินประกันชีวิตมา จะนำไปประกอบพิธีฮัจญ์ให้กับลูกชาย ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้เขาได้ในชีวิตที่เหลืออยู่ของนาง...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ก๊ะแมะขณะกำลังเล่าเรื่องของลูกชาย
2 รุสลามกับอาชีพทหารที่เขารัก