จับกระแสกลุ่ม“หนุน-ต้าน”รัฐประหาร เสื้อแดงไปไหน-ทำไม คสช.ไม่ปล่อยนศ.?
“…ถ้าปล่อยบรรดา 14 นักศึกษาออกไป บรรดาฝ่ายต้านจะลุกฮือขึ้นอย่างง่ายดาย และยากต่อการควบคุมกว่าเมื่อก่อน ... และหากเหตุการณ์เดินไปในทิศทางนั้น การบริหารงานของ คสช. จะยากขึ้นเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน จนทำให้ต้องลงจาก “อำนาจ” เร็วกว่าปกติ…”
ในห้วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแส “ต้านรัฐประหาร” ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง !
หลังจากเงียบหายไปตั้งแต่ “นักศึกษา-กลุ่มดาวดิน” นับสิบชีวิต ประท้วงที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือน พ.ค. 2558 ที่ผ่านมา
โดยคราวนี้ถือฤกษ์วันที่ 24 มิ.ย. 2558 ซึ่งนับเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณายาสิทธิราชย์ สู่ ประชาธิปไตย จุดไฟ “ต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” เรียกร้อง “สิทธิเสรีภาพ-การเลือกตั้ง” ให้กลับคืนสู่ประเทศโดยไว
ภายหลังเรียกร้องยาวนานกว่า 2 สัปดาห์ ท้ายสุด นักศึกษา-กลุ่มดาวดิน รวม 14 ชีวิต ก็ถูก “ทหาร” เข้ารวบตัวส่งฟ้องศาลทหารกลางดึก และถูกส่งตัวเข้าเรือนจำทันที
แต่เหมือนเหรียญที่มีสองด้านเสมอ เมื่อมี “กลุ่มต้าน” ก็ต้องมี “กลุ่มหนุน”
ล่าสุด บรรดา “นักศึกษา-อาชีวะ” ที่เคยไปชุมนุมกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปสส.) เริ่มออกมาเคลื่อนไหว
เตรียมปฏิบัติการ “ม็อบชนม็อบ” ใส่บรรดาผู้เรียกร้องประชาธิปไตยแล้ว !
ท่ามกลางบรรยากาศยุค “6 ตุลาฯ 2519” เริ่มคุกกรุ่นกลับมาอีกครั้ง
คำถามที่น่าสนใจคือ กรณีนี้ “กลุ่มคนเสื้อแดง” หายไปไหน ?
และทำไม คสช. ถึงไม่ปล่อยตัว “นักศึกษา-ดาวดิน” เพื่อลดคลายความตึงเครียดในขณะนี้
เพื่อขยายความให้ชัดขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จับกระแสการเคลื่อนไหวของ 14 นักศึกษา-ดาวดิน ในห้วงเวลาดังกล่าว มาเรียบเรียงดังนี้
หลังจากช่วงเช้าวันที่ 24 มิ.ย. 2558 บรรดานักศึกษาที่ถูกออกหมายจับ เนื่องจากไปชุมนุมที่หน้าหอศิลป์ฯ เดินทางมาที่ สน.ปทุมวัน เพื่อฟ้องกลับเจ้าหน้าที่รัฐ ฐาน “กบฏ” ที่กระทำการรัฐประหาร ต่อมาในช่วงบ่าย “กลุ่มดาวดิน” ที่ถูกออกหมายจับเช่นกัน ได้เดินทางเข้ามาสมทบรวมกับกลุ่มดังกล่าวด้วย
การชุมนุมกินระยะเวลายาวนาน มีมวลชนทยอยเข้าร่วมกับกลุ่มนักศึกษาเรื่อย ๆ กระทั่งตอนดึกวันดังกล่าว จึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าน อย่างไรก็ดีภายหลังนักศึกษาทยอยกลับบ้าน มี “สันติบาล” ที่เคลื่อนไหวมาแต่ช่วงเช้า ได้เริ่มปฏิบัติการ เข้า “ประชิด” นักศึกษาทีละคน ๆ แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้จับใคร และปล่อยตัวนักศึกษาไปในท้ายสุด
ถัดจากนั้นเพียง 2 วัน บรรดานักศึกษา-กลุ่มดาวดิน ได้ถูกตำรวจบุกเข้าจับกุมที่ “สวนเงินมีมา” มูลธิเสถียรโกเศศ ซึ่งเป็นจุดตั้งมั่น-วางแผน เตรียมเคลื่อนไหวต่อ
ก่อนที่จะถูกส่งขึ้นศาลทหารในช่วงดึกคืนวันเดียวกัน ก่อนที่ศาลจะยกคำร้องขอประกันตัว และส่งตัวไปฝากขังที่เรือนจำ
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีมวลชน และนักศึกษาหลากหลายสถาบันที่ “เห็นด้วย” กับการต้านรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่ต้านมาตั้งแต่ต้น หรือคนอื่น ๆ ที่เพิ่ง “ตระหนัก” ได้ในส่วนนี้ ทยอยมาให้กำลังใจ “14 นักศึกษา” ที่หน้าเรือนจำกรุงเทพมหานคร กันอย่างคึกคัก โดยมีกิจกรรมจุดเทียน-เขียนป้ายให้กำลังใจ เป็นต้น
ต่อมาได้มีองค์กรสิทธิมนุษยชนจากต่างประเทศหลายแห่ง เรียกร้องให้ปล่อยตัว 14 นักศึกษาทั้งหมดโดยทันที
ในห้วงเวลาเดียวกัน คณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้บินลัดฟ้าไปประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อดูงานด้านภัยแล้ง
“สิ่งที่เขาต้องการคือการเลือกตั้ง แต่เขารู้หรือไม่ว่า ขณะนี้ประเทศอยู่ในสภาวะอะไร มีปัญหาอะไรบ้าง”
เป็นคำยืนยันของ “บิ๊กตู่” ต่อข้อซักถามของสื่อ กรณี “อียู” ออกมากดดันให้รัฐบาลปล่อยตัว 14 นักศึกษา พร้อมยืนยันว่า ทำตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย
ซึ่งตรงกันกับความเห็นของ “เสธ.ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล ที่ออกมาระบุถึงกรณีนี้ว่า รัฐบาลทำตามกฎหมาย และถ้าหากปล่อยไปเกรงว่าจะเกิด “ลัทธิเอาอย่าง” ทำตามขึ้นมาได้อีก
ก่อนที่ฝ่ายรัฐบาลจะปูดข้อมูลแฉมี “คนเบื้องหลัง” ที่ออกมาชักใย “กลุ่มต้านรัฐประหาร” อยู่ในขณะนี้
ขณะเดียวกัน บรรดา “ฝ่ายหนุน” เช่น กลุ่มนักศึกษา-อาชีวะ ที่เคยร่วมชุมนุมกับ กปปส. ได้เริ่มเคลื่อนไหวในโซเชียลเน็ตเวิร์คบ้างแล้ว และออกมาเรียกร้องให้ “หยุด” การต้านรัฐประหาร ไม่อย่างนั้นจะ “เคลื่อนไหว” บ้าง
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ “6 ตุลาฯ 2519” เข้าไปทุกขณะ
คำถามที่น่าสนใจคือ “คนเสื้อแดง” ซึ่งเคยเรียกร้องประชาธิปไตยมาโดยตลอดหายไปไหน ?
ก่อนหน้านี้ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคยออกมาระบุถึงกรณีนี้ โดยเรียกร้องให้ คสช.-รัฐบาล ปล่อยตัว 14 นักศึกษาโดยทันที
เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ “ตึงเครียด” มากไปกว่านี้ ?
เมื่อพิจารณาจากคำพูดของ “เต้น” จะเห็นได้ว่า เป็นแค่การออกมา “เลี้ยงกระแส” ของบรรดา 14 นักศึกษาเอาไว้เท่านั้น แต่ไม่ได้ “ส่งซิก” ถึงมวลชนให้ออกมาเคลื่อนไหวร่วมแต่อย่างใด
เนื่องจาก “แดงบางกลุ่ม” เห็นว่า การออกมาต้านรัฐประหารยังไม่มีความจำเป็นในตอนนี้ ?
แม้จะเห็นด้วยกับการเรียกร้องของนักศึกษาก็ตาม แต่หาก “เสื้อแดง” ออกไปในห้วงเวลาอย่างนี้ อาจถูกคนบางกลุ่มมองว่า “เสื้อแดง” คือ “ผู้ชักใย” อยู่เบื้องหลัง และจะดึง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก
พูดง่าย ๆ คือ ต้องการให้การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นไปอย่าง “บริสุทธิ์” นั่นเอง
อย่างไรก็ดี “แดงอีกกลุ่ม” กลับมองว่า ยังไม่จำเป็นต้องออกมาต้านรัฐประหาร เพราะแค่สภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ เชื่อว่าอีกไม่ถึง 1 ปี คสช. จะต้อง “ลงจากหลังเสือ” ไปเอง
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า “คนเสื้อแดง” ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมาหลายยุคแล้ว บาดเจ็บ-ล้มตาย ก็มาก หากต้องออกไปต่อสู้อีกคราวนี้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเมือคราวปี 2553 ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจนถึงปัจจุบัน
ที่สำคัญ ขณะนี้มี “มาตรา 44” จับตาการเคลื่อนไหวคนเสื้อแดงระดับ “แกนนำ” อย่างเข้มงวด ทำให้ไม่สามารถ “มีปาก-มีเสียง” อะไรได้มากนักอีกด้วย
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลบางส่วนที่ทำให้ “คนเสื้อแดง” ยังไม่ออกมาร่วมชุมนุม “ต่อยอด” จากนักศึกษา
อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือ เหตุใด คสช. ไม่ปล่อยนักศึกษาเพื่อลดแรงตึงเครียด ที่อาจทวีความรุนแรงเหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ได้ ?
หากจับคำพูดของ “บิ๊กตู่ และ “เสธ.ไก่อู” แล้ว จะเห็นได้ว่า “ไม่สนใจ” การเคลื่อนไหวในครั้งนี้สักเท่าไหร่นัก เพราะถือว่าเป็นแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น
แต่ท่าทีของ “เสธ.ไก่อู” ที่ระบุว่า ป้องกันไม่ให้เกิด “ลัทธิเอาอย่าง” ขึ้นอีก หากจะขยายความให้มากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่า คสช. “กลัว” ว่า ถ้าปล่อยบรรดา 14 นักศึกษาออกไป บรรดาฝ่ายต้านจะลุกฮือขึ้นอย่างง่ายดาย และยากต่อการควบคุมกว่าเมื่อก่อน
รวมถึงอาจมีการปลุกกระแสชู 14 นักศึกษา “เป็นวีรบุรุษ” ให้คล้ายคลึงกับ “13 กบฏ” เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ในช่วงยุค 14 ตุลาฯ 2516 ก็เป็นได้
และหากเหตุการณ์เดินไปในทิศทางนั้น การบริหารงานของ คสช. จะยากขึ้นเป็นทวีคูณอย่างแน่นอน จนทำให้ต้องลงจาก “อำนาจ” เร็วกว่าปกติ
หมดสิทธิ์ “ปฏิรูป” ประเทศอย่างที่เคยบอกมาตลอด ?
ทั้งหมดคือบรรดาเหตุผลที่ว่า “คนเสื้อแดง” หายไปไหน-ทำไม คสช. ไม่ปล่อยตัว 14 นักศึกษา
แต่ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร
การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผ่านมากกว่า 1 ปีแล้ว จะเป็นคำตอบให้กับประชาชนเองว่า สมควร “อยู่” หรือ “ไป” !