ป.ป.ช.ตั้งที่ปรึกษาพิเศษด้านไต่สวนประจำปธ.-กก.รับเงินเดือน 4.7 หมื่น
ระเบียบใหม่ ป.ป.ช. ตั้งที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวน-วินิจฉัยคดีประจำ ปธ.-กก.ป.ป.ช. คนละ 1 อัตรา มีหน้าที่ศึกษา-วิเคราะห์งานด้านไต่สวน ให้ความเห็นด้านกฎหมายในการวินิจฉัยคดี รับเงินเดือน 47,240 บาท
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าด้วยที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีประจําประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. 2558
ระเบียบดังกล่าว ระบุว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีประจําประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจของประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และบรรลุผลตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 107 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จึงออกระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีประจําประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. 2558”
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3 ในระเบียบนี้
“ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดี” หมายความว่า ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีประจําประธานกรรมการ ป.ป.ช. และที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีประจํากรรมการ ป.ป.ช.”
ข้อ 4 ให้สํานักงาน ป.ป.ช. ดําเนินการจ้างและแต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีตามระเบียบนี้ โดยให้มีที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีประจําประธานกรรมการ ป.ป.ช. และที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีประจํากรรมการ ป.ป.ช. จํานวนท่านละ 1 อัตรา
ข้อ 5 ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(ก) มีคุณสมบัติ
(1) มีสัญชาติไทย
(2) เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายซึ่งมีประสบการณ์สูงด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดี ด้านการดําเนินคดีในศาล ด้านการให้ความเห็นทางกฎหมาย หรือด้านนิติการ มาแล้วเป็นเวลาไม่ต่ํากว่าสิบปี และมีผลงานเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
(3) อายุไม่ต่ํากว่าสี่สิบห้าปี
(4) เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
(5) ไม่เป็นข้าราชการ
(6) ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
(7) ไม่เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
(8) ไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ
(9) ไม่เป็นผู้จัดการ กรรมการ ที่ปรึกษาตัวแทน หรือลูกจ้างของบุคคล ห้างหุ้นส่วนบริษัท หรือองค์กรใด ๆ
(10) ไม่เป็นผู้ประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดํารงตําแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน อันขัดหรือแย้งต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กําหนดในระเบียบนี้
(ข) ไม่มีลักษณะต้องห้าม
(1) เป็นบุคคลติดยาเสพติดให้โทษ
(2) เป็นผู้มีกายทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กําหนดในกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน
(3) เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
(4) เป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นคดี หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว
(5) เป็นผู้เคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นความผิดที่เกิดจากการกระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
(6) เป็นผู้เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทําทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
ข้อ 6 ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีมีหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ และกลั่นกรองงานด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดี งานให้ความเห็นทางกฎหมาย งานดําเนินคดีในศาล และงานนิติการ เพื่อให้คําปรึกษา ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตเกี่ยวกับงานดังกล่าวต่อประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย
ข้อ 7 ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีต้องปฏิบัติตามนโยบาย และคําสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และแบบธรรมเนียมของทางราชการ
ในกรณีที่ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีปฏิบัติหน้าที่มีความดีความชอบเป็นพิเศษ ให้มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเพื่อขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามที่สํานักงาน ป.ป.ช. เสนอ
ข้อ 8 การจ้างและแต่งตั้งที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดี ให้ดําเนินการดังนี้
(1) ให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. เสนอชื่อผู้ที่ประสงค์จะให้แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดี ต่อสํานักงาน ป.ป.ช.
(2) ให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดี ยื่นแบบแสดงข้อมูลบุคคล และแบบแสดงผลงานตามที่สํานักงาน ป.ป.ช. กําหนด พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานต่อสํานักงาน ป.ป.ช. ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้ยื่นเอกสารดังกล่าว ประกอบด้วย
ก. สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน ในกรณีที่มีการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลให้นําหลักฐานการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลมาแสดงด้วย
ข. สําเนาทะเบียนบ้าน
ค. สําเนาหลักฐานการสําเร็จการศึกษา
ง. รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวกหรือแว่นตาสีดํา ขนาด 2 นิ้ว ซึ่งถ่ายมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน จํานวน 4 รูป
จ. ใบรับรองแพทย์ซึ่งมีอายุไม่เกิน 3 เดือน
ฉ. เอกสารหลักฐานอื่นที่สํานักงาน ป.ป.ช. กําหนด เพื่อแสดงว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 5
(3) ให้สํานักงาน ป.ป.ช. ดําเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อ โดยอาจตั้งคณะกรรมการเพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติด้วยก็ได้
(4) ให้สํานักงาน ป.ป.ช. ดําเนินการจ้างและแต่งตั้งผู้ได้รับการเสนอชื่อซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 5 เป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดี ทั้งนี้ ตามจํานวนที่กําหนดไว้ตามข้อ 4
ข้อ 9 ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีพ้นจากตําแหน่งเมื่อ
(1) ตาย
(2) ลาออก
(3) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 5
(4) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. แล้วแต่กรณี เห็นควรให้พ้นจากตําแหน่ง
(5) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. พ้นจากตําแหน่ง แล้วแต่กรณี
(6) คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้พ้นจากตําแหน่งการพ้นจากตําแหน่งไม่ว่ากรณีใด ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าตอบแทนหรือเงินอื่นใดจากสํานักงาน ป.ป.ช. เว้นแต่ที่กําหนดไว้ตามระเบียบนี้
ข้อ 10 ให้สํานักงาน ป.ป.ช. ออกบัตรประจําตัวแก่ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีเพื่อแสดงตน พร้อมทั้งจัดทําและรักษาทะเบียนประวัติของที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีไว้เป็นหลักฐานบัตรประจําตัวตามวรรคหนึ่ง เป็นอันยกเลิกเมื่อมีกรณีตามข้อ 9
ข้อ 11 ให้ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีปฏิบัติงานเต็มเวลาราชการปกติ โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน อัตราเดือนละ 47,240 บาท และมีสิทธิได้รับสวัสดิการและการสงเคราะห์อื่น ดังต่อไปนี้
(1) การประกันสุขภาพ โดยมีเบี้ยประกันไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อปี
(2) บําเหน็จตอบแทนเป็นเงินซึ่งจ่ายครั้งเดียวเมื่อพ้นจากตําแหน่ง หลังจากที่ดํารงตําแหน่งครบหนึ่งปีขึ้นไปนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง
ในการคํานวณบําเหน็จตอบแทน ให้นําค่าตอบแทนเป็นรายเดือนคูณด้วยระยะเวลาการดํารงตําแหน่งเป็นรายปี โดยให้นับจํานวนปีและเศษของปีด้วย การคํานวณเศษของปีที่เป็นเดือนหรือเป็นวันให้เป็นปีนั้น ให้นําเศษที่เป็นเดือนหารด้วยสิบสอง และเศษที่เป็นวันหารด้วยสามสิบได้ผลลัพธ์เท่าใดจึงหารด้วยสิบสอง ในการคํานวณให้ใช้ทศนิยมสองตําแหน่งและให้นําจํานวนที่คํานวณได้มารวมกันเป็นระยะเวลาที่ดํารงตําแหน่งซึ่งเป็นจํานวนปี สิทธิในบําเหน็จตอบแทนเป็นสิทธิเฉพาะตัวจะโอนแก่กันไม่ได้
ในกรณีที่ที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีพ้นจากตําแหน่งเพราะถึงแก่ความตายไม่ว่าผู้นั้นจะดํารงตําแหน่งครบหนึ่งปีบริบูรณ์หรือไม่ก็ตาม ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับบําเหน็จตอบแทน โดยให้จ่ายแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(3) เงินเพิ่มพิเศษเป็นรายเดือน อัตราเดือนละ 20,000 บาท
(4) ประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด
ข้อ 12 ให้นําระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการมาใช้บังคับกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานของที่ปรึกษาพิเศษด้านการไต่สวนและวินิจฉัยคดีโดยอนุโลม โดยให้ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการสํานักงาน ป.ป.ช. ตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (ระดับ 10) ทั้งนี้ ให้เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติการเดินทางไปปฏิบัติงาน
ข้อ 13 ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอํานาจตีความและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้ระเบียบนี้
ประกาศ ณ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ
ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ