ยูนิเซฟมอบรายชื่อผู้ร่วมสนับสนุนโครงการ BEST START ให้แก่ภาครัฐ
ยูนิเซฟร่วมกับภาคี มอบรายชื่อผู้ร่วมสนับสนุนโครงการ BEST STARTให้แก่ภาครัฐ เพื่อผลักดันให้เพิ่มการลงทุนในเด็กปฐมวัย
องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ประเทศไทย มอบรายชื่อผู้สนับสนุนรณรงค์การลงทุนเพื่อเด็กปฐมวัยกว่า 5,000 คน ผ่านนายแพทย์ดนัย ธีวันดา ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขและนางสายรุ้ง ใจอิ่ม ผู้แทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมุ่งเป้าผลักดันนโยบายการลงทุนในเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี เพื่อการพัฒนาประเทศไทยที่ยั่งยืนในระยะยาว
หลังจากเปิดตัวโครงการเบสท์สตาร์ท (Best Start) “หกปีแรกของชีวิต คือ หกปีทองของเด็ก” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างยูนิเซฟและภาคีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โครงการนี้ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี โดยมีผู้สนับสนุนการรณรงค์ด้วยการลงชื่อถึง 5,714 คน เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยเพิ่มการลงทุนในการพัฒนาเด็กปฐมวัยมากขึ้นเนื่องจากเป็นรากฐานของการพัฒนาตลอดชีวิต
นายพิชัย ราชภัณฑารี ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เปิดเผยว่า การพัฒนาเด็กในช่วงแรกเกิดจนถึง 6 ปี มีความสำคัญมากเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สมองพัฒนาสูงสุด ซึ่งการพัฒนาเด็กในช่วงนี้จะส่งผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาของเด็กตลอดชีวิต และส่งผลต่ออนาคตของเด็กและอนาคตของชาติด้วย ทั้งนี้ ยูนิเซฟและภาคีได้เปิดตัวโครงการเบสท์สตาร์ทขึ้น เพื่อส่งเสริมให้พ่อแม่และสังคมเห็นความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยเน้นการดูแลและพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก การส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการ เช่น การอ่านหนังสือกับลูก และการเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรืออนุบาลเมื่อถึงเกณฑ์ และที่สำคัญคือการที่พ่อแม่ให้เวลากับลูกอย่างเพียงพอ
“จากรายงานสถานการณ์เด็กและสตรีที่สำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟจัดทำขึ้นใน พ.ศ. 2555 เรายังพบปัญหาหลายประการในประเทศไทย เช่น มีเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกเพียงร้อยละ 12, มีเด็กแรกเกิดถึง 5 ขวบที่เตี้ยแคระแกร็นถึงร้อยละ 16 เนื่องจากขาดสารอาหารที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง และในขณะเดียวกันก็มีเด็กที่อ้วนเกินเกณฑ์ถึงร้อยละ 11 นอกจากนี้ในส่วนของการกระตุ้นพัฒนาการ พบว่า มีพ่อเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ได้ทำกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้กับลูกเป็นประจำ หรือมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบเกินครึ่งที่มีหนังสือเด็กน้อยกว่า 3 เล่มที่บ้าน และมีเด็กอายุ 3 ขวบถึง 1 ใน 4 ไม่ได้เข้าเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรืออนุบาล” นายพิชัยกล่าว
จากการรณรงค์โครงการเบสท์สตาร์ทตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์ อินโฟกราฟฟิค และวิดีโอ ตลอดจนรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างเว็บไซต์เบสท์สตาร์ทไทยแลนด์ดอมคอม (www. Beststartthailand.com) และ เฟซบุคเบสท์สตาร์ทไทยแลนด์ (Facebook: Beststartthailand) ตลอดจนความร่วมมือจากศิลปินผู้มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ 6 ท่านคือ หนูดี-วนิษา เรซ, ญารินดา บุนนาค, โอปอล์-ปาณิสรา อารยะสกุล, บอย-โกสิยพงษ์, สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม) และ สุหฤท สยามวาลา ทำให้โครงการเบสท์สตาร์ทประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมีพ่อแม่ให้ความสนใจในประเด็นนี้จำนวนมากและมีผู้ร่วมลงชื่อสนับสนุนให้เพิ่มการลงทุนในเด็กปฐมวัยถึง 5,714 คน
หลังจากการมอบรายชื่อผู้สนับสนุนแล้ว ยูนิเซฟยังได้จัดการเสวนาในเรื่อง “เบสท์สตาร์ท การพัฒนาการที่ดี เริ่มต้นที่พ่อแม่” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้มีประสบการณ์ในด้านการพัฒนาเด็ก 3 ท่าน คือ คุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการมูลนิธิหนังสือเพื่อนเด็ก และนักแต่งหนังสือสำหรับเด็ก และยังเป็นนักวิชาการและนักวิจัยอิสระด้านการส่งเสริมการอ่านในเด็กและครอบครัว แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์ด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าคลีนิควัยรุ่น นอกจากนี้ยังเป็น “คุณหมอโอ๋” หนึ่งใน แอดมินของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” และคุณหรรษา มหามงคล อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นแอดมินเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” ด้วยเช่นกัน
“ยูนิเซฟและภาคีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะช่วยจุดประกายให้พ่อแม่และสังคมใส่ใจในเรื่องการพัฒนาเด็กปฐมวัยมากขึ้น และนำไปสู่การเพิ่มการลงทุนสำหรับเด็กปฐมวัยในระดับประเทศทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพราะการลงทุนในการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่คุ้มค่าที่สุด” นายพิชัยกล่าว