เปิดใจครอบครัว นศ.ไทยจากปัตตานี ถูกจับที่ปากีฯหลังหิ้วปืนขึ้นเครื่องบิน
"ถ้าเป็นไปได้อยากคุยกับลูกชาย บอกให้เขาพูดตรงๆ ของที่รับมาจะเอาไปให้ใคร รับจากใคร มั่นใจว่าลูกชายถูกใส่ร้าย อยากขอความเป็นธรรมให้เขาด้วย เขาไม่ผิด ช่วยเขาด้วย อย่าให้เขากลายเป็นแพะรับบาป"
เป็นเสียงจากมารดาของนักศึกษาไทยในปากีสถาน 1 ใน 5 คนที่ถูกหน่วยสืบราชการลับปากีฯจับกุม หลังพยายามหิ้วอาวุธปืนขนาด 9 มม.ขึ้นเครื่องบินการบินไทย เที่ยวบินที่ ทีจี 346 จากกรุงลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 8 มิถุนายน ที่สนามบินลาฮอร์ รัฐบาลไทยขอความร่วมมือไม่ให้เปิดเผยชื่อ เพราะยังมีสถานะเป็นผู้ต้องสงสัยเท่านั้น โดยทั้ง 5 คนมาจากคนละจังหวัด มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสงขลา 1 คน ปัตตานี 1 คน ฉะเชิงเทรา 1 คน กระบี่ 1 คน และตรัง 1 คน ทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม
นักศึกษา 1 ใน 5 คนที่ถูกควบคุมตัวเป็นชาวจังหวัดปัตตานี อายุ 28 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่หมู่ 6 ตำบลดอนรัก อำเภอหนองจิก หลังจากมีข่าวนักศึกษารายนี้ถูกควบคุมตัวที่ปากีสถาน ปรากฏว่ามีตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษจำนวน 50 นายนำกำลังไปตรวจค้นบ้านตามภูมิลำเนาของนักศึกษารายนี้ โดยมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนำเข้าตรวจค้น
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ไม่พบผู้ปกครองของนักศึกษา เพราะย้ายออกไปแล้ว แต่ยังไม่ได้แจ้งเปลี่ยนทะเบียนราษฎร์ โดยย้ายไปอยู่ที่ตำบลบางตาวา อำเภอหนองจิก เจ้าหน้าที่จึงตามไปพบและพูดคุยขอข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษาที่ถูกจับกุม ทราบว่านักศึกษารายนี้ไปศึกษาต่อด้านศาสนาที่ประเทศปากีสถานนานกว่า 2 ปี
ครอบครัวช็อคข่าวเจอรวบคาสนามบิน
"ทีมข่าวอิศรา" เดินทางไปพบกับมารดาและพี่สาวของนักศึกษาจากจังหวัดปัตตานีที่ถูกจับกุม โดยพี่สาวให้ข้อมูลว่า น้องชายติดต่อมาว่าจะกลับบ้านช่วงเดือนรอมฎอนเพื่อถือศีลอด พร้อมเล่าให้ฟังว่ามีอุสตาซ หรือครูสอนศาสนาจากสถานศึกษาที่ไปเรียนต่อในปากีสถาน ฝากหนังแกะมาให้อุสตาซจังหวัดยะลา โดยไม่รู้มาก่อนว่าของที่ฝากมานั้นเป็นอาวุธปืน
"ฉันไม่เชื่อว่าน้องชายจะทำเรื่องไม่ดี เพราะยังบอกให้ทางบ้านไปรับที่สถานีขนส่งจังหวัดสงขลา ในช่วงเช้าวันที่ 10 มิถุนายน แต่พอถึงวันนัด น้องชายก็ไม่กลับมา กระทั่งเมื่อวานเจ้าหน้าที่มาที่บ้าน บอกว่าน้องชายถูกควบคุมตัวที่สนามบินปากีสถานี จึงรู้สึกช็อคมาก"
ขณะที่มารดาของนักศึกษาจากปัตตานี บอกว่า ลูกชายเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนไปศึกษาต่อที่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จังหวัดยะลา เป็นเวลา 2 ปี ไม่ทันจบก็เข้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนสามัคคีศาสตร์ ที่อำเภอหนองจิก กระทั่งจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็บอกลูกว่าไม่ต้องเรียนแล้ว เพราะไม่มีเงินส่งให้เรียน แต่ลูกก็พยายามจะเรียนต่อให้ได้ ไปทำงานที่มาเลเซีย 6 เดือน ได้เงินมาก็เข้าเรียนที่โรงเรียนมัรกัสยะลา จากนั้นทางโรงเรียนก็ส่งไปเรียนต่อที่มัรกัสปากีสถาน โดยให้ทางบ้านหาเงินเฉพาะค่าตั๋วเครื่องบิน ส่วนค่าใช้จ่ายทางโรงเรียนที่ปากีสถานออกให้ทั้งหมด ลูกไปเรียนกว่า 2 ปีแล้ว ครั้งนี้ติดต่อมาจะกลับบ้าน เพื่อมาร่วมถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
มารดาของนักศึกษายืนยันว่า ลูกชายเป็นคนดี ช่วงที่จะไปเรียนปากีสถาน ชาวบ้านที่ทราบเรื่องว่าเราไม่มีเงิน ยังจัดงานดื่มน้ำชา ได้ค่าตั๋วเครื่องบินมากว่า 2 หมื่นบาท เมื่อวานพอชาวบ้านรู้ว่าเขาถูกจับดำเนินคดี ก็ช่วยกันละหมาดฮายัดทั้งหมู่บ้าน
นายเจ๊ะมาแก๊ะ สันติศาสน์วรกุล ผู้ใหญ่บ้านปะกาจีนอ หมู่ 6 ตำบลดอนรัก ซึ่งเป็นหมู่บ้านตามภูมิลำเนาในทะเบียนบ้านของนักศึกษาที่ถูกจับ เล่าว่า นักศึกษารายนี้เคยมาอยู่ในพื้นที่ปะกาจีนอจริง โดยมาอยู่กับยาย เพราะพ่อของนักศึกษาเสียชีวิต และแม่แต่งงานใหม่ แต่หลังจากยายเสียชีวิต เขาก็กลับไปอยู่กับแม่ แต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนกลับไปด้วย
จากการพูดคุยกับแม่และพี่สาวของนักศึกษา ทราบว่า เขาไปเรียนต่อที่ปากีสถาน ซึ่งเป็นโรงเรียนฮาฟีส เป็นโรงเรียนท่องจำอัลกุรอาน ไปได้ 2 ปีกว่าแล้ว โดยโรงเรียนมัสกัสส่งไปเรียน การเดินทางกลับมาก็เพื่อจะร่วมถือศีลอดกับที่บ้าน ซึ่งหากแม่สามารถหาเงินค่าตั๋วเครื่องบินได้ ก็จะไปเรียนอีก แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินก็ไม่ไปเรียนแล้ว
"ถ้าเรื่องเป็นตามที่พี่สาวเล่าจริง ก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมมากสำหรับนักศึกษารายนี้ กล่อง 2 กล่องที่อุสตาซฝากมาเป็นอะไรเขาอาจไม่รู้ แต่จะไม่รับก็ไม่ได้ เพราะคนฝากเป็นอุสตาซ" นายเจ๊ะมาแก๊ะ กล่าว
ด้านบิดากับมารดาของนักศึกษาอีกคนที่มีภูมิลำเนาในอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ บอกว่าลูกต้องการเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อทำเรื่องผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร แต่กลับถูกจับ รู้สึกเป็นห่วงลูกมาก ยืนยันว่าลูกไม่มีทางเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายแน่นอน จึงอยากวิงวอนขอให้รัฐบาลช่วยเหลือลูกชายด้วย
มีรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า อาวุธปืนที่ 1 ใน 5 นักศึกษานำขึ้นเครื่องบิน ถูกห่อด้วยกระดาษฟรอยด์อย่างดี เพื่ออำพรางการตรวจของเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุระเบิดบริเวณสนามบิน
บัวแก้วส่งทูตเยี่ยม 5 นศ.ไทย
กระทรวงต่างประเทศ สั่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด เข้าเยี่ยมนักศึกษาไทยในปากีสถาน 5 คนที่ถูกจับกุม หลังถูกกล่าวหานำอาวุธปืนขึ้นเครื่องบิน ขณะที่รองโฆษกรัฐบาลแจงไม่เกี่ยวก่อการร้ายและกลุ่มก่อความไม่สงบชายแดนใต้
นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ทางกระทรวงได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของปากีสถาน โดยได้ดําเนินการเพื่อขอเข้าเยี่ยมให้ความช่วยเหลือนักศึกษาทั้ง 5 คนตามกฎหมายและระเบียบของทางการปากีสถานแล้ว
สำหรับโทษตามกฎหมายในข้อหาดังกล่าว ทางกระทรวงขอตรวจสอบกฎหมายของปากีสถานให้ชัดเจนอีกครั้ง
รัฐแจง 5 นักศึกษาไม่เกี่ยวก่อการร้าย
พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอไม่เปิดเผยชื่อของนักศึกษาทั้ง 4 คนเพื่อไม่ให้ครอบครัวของนักศึกษาต้องเดือดร้อน และขณะนี้นักศึกษาทั้งหมดยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา อยู่ในชั้นสอบสวนเท่านั้น
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของฝ่ายความมั่นคง ไม่พบความเชื่อมโยงหรือพฤติกรรมใดที่แสดงถึงความเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ หรือกลุ่มก่อความไม่สงบใดๆ จึงต้องติดตามผลการสอบสวนถึงแรงจูงใจในการแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นของนักศึกษาทั้ง 5 คนต่อไป โดยขณะนี้นักศึกษาทั้งหมดปลอดภัยและสุขภาพดี อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ปากีสถาน ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานเข้าไปดูแลพูดคุยเพื่อให้ผู้ถูกควบคุมตัวทั้งหมดสบายใจ ไม่เครียด และเข้าใจระเบียบกฎหมาย รวมทั้งสิทธิ์ของตนเองแล้ว
เหตุการณ์จับกุมนักศึกษาไทยในปากีสถาน เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 8 มิถุนายนตามเวลาท้องถิ่น หลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานเมืองละฮอร์ ประเทศปากีสถาน เข้าควบคุมตัวนักศึกษาทั้งห้าในข้อหาพกอาวุธปืนในท่าอากาศยาน โดยข้อมูลจากบางแหล่งระบุว่า เป็นการจับกุมหลังเครื่องเอ็กซเรย์ที่ท่าอากาศยานตรวจพบอาวุธปืนขนาด 9 มิลลิเมตร พร้อมแถบบรรจุกระสุนและกระสุนปืนแยกซุกซ่อนไว้ ขณะกําลังเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน แต่ข้อมูลจากบางแหล่งระบุว่าเป็นการถูกจับขณะผ่านเครื่องเอ็กซเรย์และขึ้นเครื่องบินไปแล้ว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ครอบครัวของ 1 ใน 5 นักศึกษาที่ปัตตานี