ทรัพย์สิน 67 ล.“ชาญวิทย์-พรศักดิ์” 2 สนช.ก่อนถูกปูดปมซื้อยาฆ่าแมลง
โชว์ทรัพย์สิน 67 ล้าน “ชาญวิทย์-พรศักดิ์” 2 สนช. หลังถูกปูดปมจัดซื้อยาฆ่าแมลง 7.8 พัน ล. พบ รายแรกแจ้งรายจ่ายให้คนเฝ้าไร่ 4.2 แสน ค่าบำรุงสวนยาง-สวนปาล์ม 3.3 แสน “เมียพรศักดิ์” แจ้งรายได้ประกอบธุรกิจ 2 บริษัทกว่า 2.6 ล้าน
ชื่อของ “ชาญวิทย์ วสยางกูร” อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และ “พรศักดิ์ เจียรณัย” อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ถูกจับตาจากสาธารณชนอีกครั้ง !
ภายหลัง “วิลาศ จันทร์พิทักษ์” อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาปูดว่า ทั้งคู่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างยาปราบศัตรูพืช กรณีประกาศภัยพิบัติ รวมวงเงินกว่า 7.8 พันล้านบาท
สำคัญ ปัจจุบัน “ทั้งคู่” ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)เสียด้วย !
ล่าสุด สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ได้ตรวจสอบกรณีนี้ตั้งแต่ต้น ออกมายืนยันว่า มี “อดีตผู้ว่าฯมุกดาหาร” เกี่ยวข้องด้วยแล้ว
(อ่านประกอบ : สตง.ยันอดีตผู้ว่าฯมุกดาหารพันปมจัดซื้อยาฆ่าแมลง-สอบเชิงลึก20จว.อีสาน)
แต่ไม่ว่าข้อเท็จจริงในกรณีนี้จะเป็นอย่างไร
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org พลิกปูมทรัพย์สินและหนี้สินของ สนช. ทั้ง 2 รายดังกล่าว มานำเสนอ ดังนี้
“ชาญวิทย์ วสยางกูร”
ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีรับตำแหน่ง สนช. เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2557
แจ้งว่า มีทรัพย์สิน 25,585,973 บาท
ได้แก่ เงินฝาก 20 บัญชี 5,316,280 บาท เงินลงทุน 3 แห่ง (เป็นกองทุนเปิด-ทุนเรือนหุ้นสหกรณ์-สลาออมสิน-บริษัท การบินไทย จำกัด) 4,747,948 บาท ที่ดิน 19 แปลง 11,651,745 บาท บ้าน 2 หลัง 5 แสนบาท รถยนต์ 1 คัน 3 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นฯ (ปืน) 3.7 แสนบาท ไม่มีหนี้สิน
แจ้งรายได้ 2,457,817 บาท เป็นเงินบำนาญ 555,097 บาท เงินเดือน สนช. 1,362,720 บาท ขายคืนสลากออมสิน 5 แสนบาท ดอกเบี้ยสหกรณ์ 4 หมื่นบาท
แจ้งรายจ่าย 1,529,500 บาท เป็นค่าคนเฝ้าไร่ 4.2 แสนบาท บำรุงรักษาสวนยาง 2 แสนบาท บำรุงรักษาสวนปาล์ม 133,500 บาท ค่าน้ำมันรถ-บำรุงรักษา 3 แสนบาท ท่องเที่ยว-พักผ่อน 2 แสนบาท ค่าโทรศัพท์-อินเทอร์เน็ต 3.6 หมื่นบาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 2.4 แสนบาท
สำหรับนายชาญวิทย์ อดีตเคยเป็นผู้ว่าฯ มุกดาหาร เมื่อปี 2553-2555 อดีตที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย ด้านบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ ปี 2552 และรองผู้ว่าฯ นครราชสีมา ปี 2550 ปัจจุบันเป็นสมาชิก สนช.
ส่วน รอ.หญิง กัณณิกา วสยางกูร คู่สมรส มีทรัพย์สิน 41,684,486 บาท
ได้แก่ เงินฝาก 16 บัญชี 26,567,716 บาท เงินลงทุน (กองทุนเปิด) 3,473,170 บาท ที่ดิน 5 แปลง 5,263,600 บาท บ้าน 1 หลัง 5 ล้านบาท รถยนต์ 1 คัน 3 แสนบาท และทรัพย์สินอื่นฯ (ปืน-เครื่องประดับ) 1,080,000 บาท มีหนี้สิน 1.6 ล้านบาท
แจ้งรายได้ 845,000 บาท เป็นดอกเบี้ยสหกรณ์ทั้งหมด
แจ้งรายจ่าย 2,184,000 บาท เป็นค่าน้ำมันรถ-บำรุงรักษา 3 แสนบาท ท่องเที่ยว-พักผ่อน 3 แสนบาท ค่าโทรศัพท์-อินเทอร์เน็ต 2.4 หมื่นบาท ค่าใช้จ่ายในบ้าน 3.6 แสนบาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 2.4 แสนบาท ค่าเช่าซื้อรถ 9.6 แสนบาท
รวมทั้งคู่มีทรัพย์สิน 67,270,459 บาท มีหนี้สิน 1.6 ล้านบาท
ส่วน “พรศักดิ์ เจียรณัย”
ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สนช. เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2557
แจ้งว่า มีทรัพย์สิน 21,184,074 บาท
ได้แก่ เงินฝาก 2,740,404 บาท เงินลงทุน 1,165,170 บาท ที่ดิน 14,578,500 บาท รถยนต์ 6 แสนบาท ทรัพย์สินอื่นฯ 2.1 ล้านบาท มีหนี้สิน (เงินกู้จากสหกรณ์ออมทรัพย์กรมการปกครอง) 3,995,983 บาท
แจ้งรายได้ 1,285,720 บาท เป็นเงินเดือน สนช. 837,720 บาท เงินประจำตำแหน่ง 348,000 บาท เบี้ยประชุม 8 หมื่นบาท ดอกเบี้ยเงินฝาก 2 หมื่นบาท
แจ้งรายจ่าย 1,269,309 บาท เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 1.8 แสนบาท ค่าอุปโภคบริโภค 1.8 แสนบาท ค่าผ่อนบ้าน 496,080 บาท ค่าเบี้ยประกัน 333,229 บาท เงินบริจาค 8 หมื่นบาท
สำหรับนายพรศักดิ์ อดีตเป็นกรรมการบริษัท ฟาสต์ฟู้ด 53 จำกัด และผู้ถือหุ้นบริษัท ร่วมพัฒนา 39 จำกัด, บริษัท ร่วมพัฒนาพันธุ์ไม้ จำกัด ปัจจุบันเป็นสมาชิก สนช. และผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ
ส่วนนางเครือวัลย์ เจียรณัย คู่สมรส มีทรัพย์สิน 46,087,837 บาท
ได้แก่ เงินฝาก 2,597,037 บาท เงินลงทุน 3,140,000 บาท ที่ดิน 22,550,800 บาท บ้าน 17.4 ล้านบาท รถยนต์ 4 แสนบาท ไม่มีหนี้สิน
แจ้งรายได้ 2,610,000 บาท เป็นเงินจากประกอบธุรกิจ บริษัท ร่วมพัฒนา 39 จำกัด 1.3 ล้านบาท บริษัท ร่วมพัฒนาพันธุ์ไม้ จำกัด 1.3 ล้านบาท และดอกเบี้ยเงินฝาก 1 หมื่นบาท
แจ้งรายจ่าย 1,763,940 บาท เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 1.8 แสนบาท ค่าอุปโภคบริโภค 1.8 แสนบาท ค่าเบี้ยประกันภัย 1,403,940 บาท
รวมทั้งคู่มีทรัพย์สิน 67,271,911 บาท มีหนี้สิน 3,995,983 บาท
ทั้งหมดคือทรัพย์สินล่าสุดของ 2 สนช. ที่ถูกจับตามองจากสาธารณชนในขณะนี้
ส่วนข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อยาปราบศัตรูพืชนั้น ต้องให้ สตง.-ป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบกันต่อไป !