หลับทั้งน้ำตา...จากใจมารดาที่ลูกชายถูกอุ้มหาย ลูกสะใภ้ถูกยิงตาย
การลอบยิง เจะรอฮานี ยูโซ๊ะ เสียชีวิตบนถนนกลางวันแสกๆ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2554 ในท้องที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ภายหลังจากสามีของเธอ อับดุลเลาะห์ อาบูคารี ถูกอุ้มหายไปเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ดูประหนึ่งเป็นดินแดนแห่งมิคสัญญี ไม่มีกฎหมาย จะอุ้มจะฆ่าใครก็ได้ตามอำเภอใจ
ทั้งๆ ที่ อับดุลเลาะห์ อาบูคารี ซึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อ 11 ธ.ค.2552 เป็นพยานปากสำคัญของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในคดีซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดีปล้นปืน และอยู่ในโปรแกรมคุ้มครองพยาน
ทั้งๆ ที่ อับดุลเลาะห์ เป็นลูกความของ ทนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ซึ่งถูกอุ้มหายไปเหมือนกันเมื่อ 7 ปีที่แล้ว (มี.ค.2547)
และทั้งๆ ที่ เจะรอฮานี เป็นภรรยาของอับดุลเลาะห์ผู้ทำประโยชน์ให้กับรัฐในฐานะพยานคดีสำคัญ ซึ่งเธอมีลูกเล็กๆ อีก 2 คนที่ต้องดูแล
ทว่ารัฐก็ปล่อยให้ความสูญเสียเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆ ที่มีหน้าที่อย่างสำคัญและเป็นพิเศษที่จะต้องคุ้มครองดูแลบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ได้รับความปลอดภัย
เมื่อทุกอย่างจบลงด้วยความตาย สูญหาย และว่างเปล่า คนข้างหลังที่ยังเหลืออยู่อย่าง มัสกะ เจะอูมา มารดาของอับดุลเลาะห์ ก็ไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่าการก้มหน้ารับชะตากรรม
“ก๊ะห์รู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองเจอ ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะต้องเจอปัญหาที่หนักหน่วงเช่นนี้ ต้องหลับทั้งน้ำตาทุกครั้งที่นึกถึงชีวิตของตัวเองและลูกที่จากไป”
มัสกะ เล่าว่าชีวิตของเธอต้องวนเวียนอยู่กับความสูญเสียมาตลอดหลายปี ทั้งกรณีของอับดุลเลาะห์ที่เกี่ยวโยงกับคดีปล้นปืนในฐานะพยานคดีซ้อมผู้ต้องหา และกรณีของลูกชายอีกคนในเหตุการณ์ตากใบ
“ก๊ะห์ต้องอยู่ในความเจ็บปวดมาตลอด ในเหตุการณ์ตากใบก็สูญเสียลูกชายคนที่ 5 ไป ต่อมาก็อับดุลเลาะห์ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 2 มาหายตัวไปอีก ทั้งที่อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ แต่ก็หาย มันแปลกๆ เราชาวบ้านจะคิดว่าใครเอาไป เพราะต้นเหตุก่อนที่อับดุลเลาะห์ต้องไปอยู่กับเจ้าหน้าที่ก็เนื่องจากเขาต้องเป็นพยานให้กับคดีปล้นปืน แล้วใครที่เสียเปรียบในเรื่องนี้...”
กระทั่ง เจะรอฮานี ยูโซ๊ะ ภรรยาของอับดุลเลาะห์ ถูกยิงเสียชีวิตไปอีกคน แม้นางจะไม่รู้ชัดว่าใครทำ แต่ความรู้สึกลึกๆ ในใจอยากจะตะโกนเพื่อระบายความอัดอั้นออกมา
“ใครยิงไม่รู้ แต่ว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้...พวกเขาคือคนกลุ่มเดียวกับที่เอาอับดุลเลาะห์ไปแน่นอน”
นางย้อนความทรงจำเล่าถึงลูกชายกับลูกสะใภ้คู่นี้ ซึ่งกำลังก่อร่างสร้างครอบครัวอย่างอบอุ่น นางยืนยันว่าทั้งคู่เป็นคนดี แต่จู่ๆ ก็มีพายุร้ายพัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิต
“ตัวอับดุลเลาะห์ก่อนที่เขาจะไปอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่กรุงเทพฯ เขาก็เป็นเด็กดี ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนเจะรอฮานีก็เหมือนกัน หลังจากที่อับดุลเลาะห์หายไป ก็ทำงานกรีดยางตามปกติ ไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้ใคร กรีดยางเลี้ยงลูก บางครั้งก็จะโทรศัพท์ให้ก๊ะห์ซื้อของไปให้หลานบ้าง ก๊ะห์ก็จะไปทุกครั้ง หรือบางวันว่างๆ ก็จะไปหาหลาน ซื้อของไปให้ตลอด ไม่คิดเลยว่าพวกนี้จะมาเอาแม่ของหลานไปด้วยอีกคน แค่เอาอับดุลเลาะห์ไปคนเดียวก็เจ็บมากพอแล้ว นี่ยังมายิงเมียเขาอีก อยากถามว่า ลูกทั้งสองไปทำอะไรกับพวกเขาถึงได้แค้นขนาดนี้”
หลังจากลูกชายถูกอุ้มหาย ลูกสะใภ้ก็มาตาย ทำให้ มัสกะ ต้องคิดหนักเรื่องการดูแลหลานทั้งสองคนที่เกิดกับอับดุลเลาะห์และเจะรอฮานี เพราะปัญหายังมีเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนไม่มีวันจบ
“ทางอำเภอมาบอกก๊ะห์ว่าจะเอาหลานไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมันเป็นอะไรที่รู้สึกว่าพวกเขายิ่งมาซ้ำเติมเรา เจ็บที่ลูกหาย เจ็บที่ลูกสะใภ้ตาย ยังจะเอาหลานไปทิ้งอีก เข้าใจดีว่าพวกเขาต้องการช่วยเหลือ แต่ฟังแล้วมันเจ็บปวด อยากฝากไปถึงคนที่ทำเรื่องร้ายๆ ให้เกิดขึ้น เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเกิดกับคนในครอบครัวของตัวเองจะเป็นอย่างไร ต้องฆ่าตัวตายแน่ๆ”
มัสกะมีลูก 7 คน หายสาบสูญไป 1 คน และตายไปอีก 1 คน เหลือ 5 คนแต่ก็ไม่มีใครมีหลานให้อุ้ม นอกจากหลานที่เกิดจากอับดุลเลาะห์เท่านั้น และนั่นยิ่งทำให้นางยิ่งเจ็บช้ำ
“ทำไมก๊ะห์ถึงโชคร้ายได้มากขนาดนี้” นางคร่ำครวญซ้ำๆ ด้วยน้ำตานองหน้า พลางทาบมือกับอกของตัวเองเหมือนต้องการเก็บกดความเจ็บปวดที่บาดลึกอยู่ข้างใน
ที่น่าเศร้าใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือท่าที่ของภาครัฐ ทั้งๆ ที่ลูกชายของนางเป็นพยานให้กับหน่วยงานรัฐ คือ ดีเอสไอ จนนางใช้คำว่า “ไปทำงานกับเจ้าหน้าที่” แต่เมื่อลูกหาย หนำซ้ำลูกสะใภ้ก็ถูกยิงตาย นางกลับไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆ จากภาครัฐเลย
“ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาให้ความช่วยเหลือ มีบ้างที่ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่อำเภอไปที่บ้านแม่ของเจะรอฮานี ที่บ้านบาโงยือริง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร แค่ไปเยี่ยมเฉยๆ ตอนนี้ก็อยากให้หลานทั้งสองคนได้รับการศึกษาที่ดีๆ เพื่อพวกเขาจะได้พาตัวเองรอดไปจากสังคมที่น่ากลัวเช่นนี้ ก๊ะห์เองก็ขอภาวนาจากอัลลอฮ์ตลอด ขอให้ก๊ะห์มีงานหาเงินส่งเสียพวกเขาทั้งสองคน ส่วนแม่ของเจะรอฮานีคงไม่ไหวแล้ว เขาแก่มาก อีกอย่างเขาก็ยังลำบากกว่าก๊ะห์”
ปัจจุบันหลานทั้งสองของนางอาศัยอยู่กับยายคือแม่ของเจะรอฮานีที่ อ.เจาะไอร้อง
“จริงๆ ก๊ะห์จะเอาหลานทั้งสองคนมาอยู่ที่บ้านโคกศิลา (อ.เมืองนราธิวาส) ด้วย จะได้ดูแลพวกเขาอย่างเต็มที่ แต่เด็กๆ ไม่ยอม บอกว่าเป็นห่วงยายที่แก่มากแล้ว หลานบอกว่าแม่ของพวกเขาไม่อยู่แล้ว ยายจึงไม่มีใครดูแลนอกจากพวกเขา ก๊ะห์ฟังแล้วก็ร้องไห้ ทนฟังแทบไม่ได้เลย สงสารหลาน แต่เขาเป็นเด็กช่างคิด รู้ว่ายายของเขาไม่มีใคร จะดูแลเอง”
“ก๊ะห์เคยชวนแม่ของเจ๊ะรอฮานีมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน เขาก็บอกว่าไม่เอา จะอยู่ที่บ้านบาโงยือริง ก๊ะห์เลยได้แต่หาโอกาสไปเยี่ยมในเวลาที่ลูกๆ ของก๊ะห์กลับมา โดยให้เขาพาไป เพราะก๊ะห์จะไปเองก็ไกล ขับรถก็ไม่เป็น ต้องอาศัยลูกพาไปหาหลาน” เป็นเสียงอันอ่อนเบาของมัสกะเมื่อพูดถึงหลานทั้งสองคน
เรื่องราวของมัสกะและครอบครัวลูกชายของนางคือวัฏจักรแห่งความโหดร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยังมีอีกหลายครอบครัวต้องเผชิญไม่ต่างกัน...
เพราะเมื่อชีวิตหนึ่งสูญหาย ชีวิตหนึ่งต้องตาย ยังมีอีกหลายชีวิตที่ต้องทนรับกรรม!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านประกอบ :
- การตายของ "เจะรอฮานี ยูโซ๊ะ" กับวงจรอุ้ม-ฆ่าที่ชายแดนใต้
- การตายอันเงียบกริบของ "เจะรอฮานี" กับกรณี "อุ้มหาย" ในสังคมไทย
- ภรรยาพยานคดีซ้อมผู้ต้องหาปล้นปืนที่หายตัวลึกลับถูกยิงดับแล้ว!