องค์กรสิทธิออกแถลงการณ์ค้านแก้ไข ม.46 พ.ร.บ.ศาลทหาร
9 องค์กรสิทธิมนุษยชนออกแถลงการณ์คัดค้านการแก้ไขมาตรา 46 พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ให้อำนาจทหารมีอำนาจสั่งขังพลเรือนโดยไม่มีองค์กรตุลาการในการตรวจสอบ
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558 องค์กรสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์คัดค้านการแก้ไขมาตรา 46 พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ให้อำนาจทหารมีอำนาจสั่งขังพลเรือนโดยไม่มีองค์กรตุลาการในการตรวจสอบ มีรายละเอียดดังนี้
ตามคณะรัฐมนตรีได้เสนอร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร(ฉบับที่...)พ.ศ….ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งมีการแก้ไขพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 46[1]ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจสั่งขังพลเรือนโดยไม่มีองค์กรตุลาการในการตรวจสอบ
องค์กรสิทธิมนุษยชนตามรายชื่อข้างท้ายนี้ เห็นว่าร่างมาตราดังกล่าวขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีความเสี่ยงที่ทำให้ประชาชนถูกละเมิดสิทธิและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนดังต่อไปนี้
1.โดยผลของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหารนั้นทำให้ประชาชนซึ่งเป็นพลเรือน ต้องถูกดำเนินคดีต่อศาลทหารในคดีบางประเภท ทั้งที่ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวใดๆกับเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งการควบคุมตัวบุคคลนั้นยังคงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
กล่าวคือ ต้องนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังต่อศาลภายใน 48 ชั่วโมงนับแต่ถูกจับและต้องขอฝากขังต่อศาลทุก 12 วัน อันเป็นการให้อำนาจศาลเข้ามาตรวจสอบการควบคุมตัวไม่ให้มีการใช้อำนาจโดยอำเภอใจ
อย่างไรก็ตามการแก้ไขมาตรา 46 กลับให้อำนาจผู้บัญชาการทหารสูงสุด ณ ที่นั้น สั่งขังผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ หากมี“เหตุสุดวิสัย” หรือ “เหตุจำเป็นอย่างอื่น”ทำให้ไม่อาจร้องขอต่อศาลได้
ซึ่งเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารใช้ดุลพินิจอย่างกว้างขวางในการควบคุมตัวอันอาจมีผลเป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาโดยการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐโดยปราศจากเหตุผลเเละความจำเป็นในการดำเนินคดีเเละขาดการกลั่นกรองเเละการตรวจสอบ(Accountability) จากองค์กรตุลาการ
จึงอาจทำให้เกิดการควบคุมตัวไม่ชอบหรือโดยพลการและในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นขึ้นจริงพนักงานสอบสวนก็สามารถใช้อำนาจตามมาตรา87ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความได้อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องบัญญัติกฎหมายให้แตกต่างกับหลักการที่มีอยู่
2. นอกจากนี้ในมาตรา 46 วรรคสอง เเม้เหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอย่างอื่นจะสิ้นสุดลงและสามารถร้องขอต่อศาลทหารได้แล้ว หากยังมีความจำเป็นในการควบคุมตัว ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุด ณ ที่นั้นสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาต่อไปได้ภายในกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการขัง
ซึ่งเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนควบคุมตัวบุคคลไว้โดยปราศจากเหตุผลที่แน่ชัด ขาดความความโปร่งใสและอาจทำให้ผู้ต้องหาขาดหลักประกันสิทธิในการเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรม อาทิเช่น สิทธิในการได้รับการเยี่ยมญาติ สิทธิในการพบทนายความ สิทธิในการพบแพทย์
3.ถึงแม้ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment-CAT)
โดยหลักการสำคัญของอนุสัญญาฯฉบับนี้คือการให้คำมั่นสัญญากับประชาคมโลกว่า ประเทศไทยจะพยายามดำเนินการเพื่อให้หลักการห้ามทรมานโดยเด็ดขาดโดยได้มีความพยายามในการแก้ไขกฎหมายไทยและการดำเนินการในทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่องนับแต่ลงนามเป็นรัฐภาคีเมื่อปีพ.ศ.2550 เช่น การร่างกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้สูญหาย พ.ศ.... โดยกระทรวงยุติธรรม
แต่การแก้ไขพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารมาตรา46 เป็นการยกเว้นหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รับรองไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและส่งผลให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงว่าจะถูกละเมิดสิทธิตามอนุสัญญาดังกล่าว
องค์กรสิทธิมนุษยชนตามรายนามด้านล่างนี้ ขอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาฐานะนายกรัฐมนตรี พิจารณาถอนร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้รัฐบาลประชาชนพิจารณาถึงการแก้ไขกฎหมายธรรมนูญศาลทหาร โดยดำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ นิติธรรมและหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและการปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมควบคุมตัวตามหลักการด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัดอันเป็นระเบียบประเพณีสากลที่เป็นที่ยอมรับในสังคมประชาธิปไตย
ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
1.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
2.ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
3.มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
4.สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
5.สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
6.มูลนิธิส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
7.มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
8.มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
9.มูลนิธิยุติธรรมสันติภาพ
สำหรับ [1]มาตรา 46 ระบุว่า ในกรณีที่มีเหตุสงสัยหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นทำให้ไม่อาจร้องขอให้ศาลทหารที่มีอำนาจสั่งขังผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ ให้ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุด ณ ที่นั้นเป็นผู้มีอำนาจสั่งควบคุมผู้ต้องหาไว้ตามความจำเป็นและกำหนดระยะเวลาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการขัง
เมื่อเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นในวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง ถ้ายังมีความจำเป็นจะต้องควบคุมผู้ต้องหาไว้ต่อไปอีก และการควบคุมนั้นยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการขัง ให้ร้องขอต่อศาลทหารที่มีอำนาจเพื่อสั่งขังผู้ต้องหานั้นต่อไปได้ ให้นำความวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับแก่บุคคลตามมาตรา16 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามมาตรา 14 ด้วยโดยอนุโลม
ขอบคุณภาพจาก: www.bloggang.com