คดีประวัติศาสตร์ "พงศ์พัฒน์-พวก" ชนวนหม่อมศรีรัศมิ์ คืนสู่สามัญชน
ในช่วงปลายปี 2557 ที่ผ่านมา ข่าวการจับกุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พร้อมนายตำรวจระดับสูงและพลเรือน จำนวนมากกว่า 30 ราย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ มาตรา 148 และเรียกรับผล ประโยชน์ มาตรา 149 และ มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นับเป็นข่าวใหญ่ที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทย
สำนักข่าวอิศรา www.isranes.org เป็นหนึ่งใน "สื่อมวลชน" ที่ร่วมเกาะติดคดีนี้อย่างใกล้ชิด และนำข้อเท็จจริงสำคัญหลายประการ มาเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
@ อดีต ผกก.1กองปราบตายกะทันหัน! หลังถูกเด้งฟ้าผ่าพร้อม ผบช.ก.
ในช่วงสายวันที่ 22 พ.ย.57 สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า เมื่อเวลา 01.32 น. วันที่ 20 พ.ย. 57 พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีตผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (ผบก.1 ป.) ที่เพิ่งถูกพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 615/2557 ให้โยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พร้อมกับ พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผู้บังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
โดยในใบมรณบัตร ระบุสาเหตุการตายว่า "กระดูกสันหลังส่วนอกหักหลายชิ้นเนื่องจากตกจากที่สูง" สถานที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระมงกุลเกล้า หนังสือรับรองการเสียชีวิต เลขที่ 1085/2557
(อ่านประกอบ : เผยใบมรณบัตร อดีต ผกก.1กองปราบเสียชีวิตกะทันหัน!โฆษกตร.ตรวจสอบอยู่)
ทั้งนี้ มีการยืนยันข้อมูลว่า ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.สมยศ ผบ.ตร. ได้ลงนามคำสั่ง สตช. โยกย้ายนายตำรวจระดับสูงจำนวน 4 ราย จำนวน 2 ครั้งติดกัน
โดยคำสั่งแรก ที่ 610/2557 ให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก. ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผบ.ตร.มอบหมายจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้รายงานตัวที่ ศปก.ตร.ภายในวันที่ 12 พ.ย.2557 เวลา 10.00 น. และให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบช.ก. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 2557 เป็นต้นไป
และคำสั่งต่อมา ที่ 615/2557 ให้ พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผู้บังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) และ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (ผบก.1 ป.) ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ผบ.ตร.มอบหมายจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.2557 เป็นต้นไป โดยให้ไปรายงานตัวที่ ศปก.ตร. ภายในวันที่ 14 พ.ย. เวลา 16.00 น.
คนใกล้ชิดและผู้สื่อข่าวไม่สามารถติดต่อนายตำรวจระดับสูงทั้ง 4 ราย มาระยะหนึ่ง จนกระทั่ง พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ เสียชีวิตกะทันหัน ดังกล่าว
@ บุกพิสูจน์ วัดหลักสี่ โชว์ใบเสร็จศพ "อัครวุฒิ์" ทำพิธีกรรมบนเมรุเดินวน3รอบเผาทันที
ต่อมาในช่วงเย็น วันที่ 22 พ.ย.57 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เดินทางไปตรวจสอบข้อมูลที่วัดหลักสี่ เขตหลักสี่ กทม. ภายหลังจากที่ได้รับการยืนยันข้อมูลมีการส่งศพ พ.ต.อ.อัคราวุฒิ์ มาจากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 21 พ.ย. โดยมีญาติ และเพื่อนข้าราชการตำรวจ 6-7 นาย มาด้วย จากนั้นก็ได้มีการจัดพิธีกันอย่างเงียบๆ ก่อนจะทำการฌาปนกิจ ในเวลา 14.00 น.
ได้รับการยืนยันจากพระสงฆ์ลูกวัดหลักสี่รูป ว่า ศพของ พ.ต.อ.อัคราวุฒิ์ ถูกนำมาเผาที่วัดหลักสี่จริง และได้เผาศพไปแล้วเมื่อวันที่ 21พ.ย.57 มีการสวดครบตามพิธีกรรมทางศาสนา โดยมีข้อมูลยืนยันจากใบบำรุงฌาปนกิจสถาน ที่ระบุชื่อศพ ว่า พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์
อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์รูปนี้ ยืนยันว่า “ไม่มีการนำศพมาตั้งไว้บนศาลา ทำพิธีกรรมทั้งหมดบนเมรุ เดินวน 3 รอบ แล้วขึ้นเผาเลย”
@ ออกหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พร้อมพวก คดีหมิ่น ม.112
ก่อนที่ในช่วงหัวค่ำวันที่ 22 พ.ย.57 ที่ผ่านมา เว็บไซต์สื่อทุกสำนักข่าวได้รายงานข้อมูลตรงกันว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 631/2557 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2557 ให้พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหา 10 ราย ดังนี้
1. พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการศปก.ตร. และ 2. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รองผบช.ก.ปฏิบัติราชการศปก.ตร.ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลอาญามาตรา 112 ,เป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 ,เจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
3. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน. ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157
4. พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร ในข้อหาร่วมกันก่อสร้างแผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าฯ หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ พ.ศ.2484 ม.54,55 ร่วมกันปลูกสร้างอาคารฝายล่วงล้ำในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำหรือทะเลสาบ ที่ประชาชนใช้ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ม.117,183
5. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคม. ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
6. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา พนักงานขับรถ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
7.ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
8.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ข้อหาร่วมกันก่อสร้างแผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าฯ หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ พ.ศ.2484 ม.54,55 ร่วมกันปลูกสร้างอาคารฝายล่วงล้ำในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำหรือทะเลสาบ ที่ประชาชนใช้ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ม.117,183
9.นางสวงค์ มุ่งเที่ยง ข้อหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ม.19,47 และ
10.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ข้อหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ม.19,47 โดยล่าสุดวันนี้ศาลได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้งหมดที่คำร้องของ ผบช.น. แล้ว
โดยคณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมด และแยกควบคุมตัวไว้ตามสถานีตำรวจใกล้ศาลอาญา รัชดา เพื่อเตรียมนำตัวขออำนาจศาลฝากขังในวันที่ 24 พ.ย.
ทั้งนี้ จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
(ภาพจาก google)
และตามมาด้วยการออกหมายจับ นายชอบ ชินนะประภา และนางปิยพรรณ ชินนะประภา สามีภรรยา ในข้อหากระทำความผิดฐานฟอกเงิน โดยในคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ต.ค.2553- 1 พ.ย.2557 ขณะที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เรียกร้องเงินหรือผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประสงค์จะไปรับตำแหน่งสูงขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนกับความมั่นคงในการทำงาน
ทั้งนี้ หลังจากที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ได้รับเงินหรือผลประโยชน์ต่างๆ แล้ว ได้ส่งให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ซึ่งเป็นน้องเขยและน้องสาว นำเงินไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด อันเป็นการฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (5), (9) และมาตรา 5 (1), (2) และมาตรา 60 ประกอบมาตรา 83 ตามประมวลกฎหมายอาญา
(อ่านประกอบ :เผยโฉมบ้านทรงไทย 2 สามีภรรยาเอี่ยวคดี"พงศ์พัฒน์"ปิดเงียบไร้ผู้อาศัย)
@ บุกค้นอายัดทรัพย์สินนับหมื่นล้าน พระพุทธรูปบูชาหายากกว่า 100 องค์
ก่อนที่ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมีการเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหา พบพยานหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะในบ้านพักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ที่มีอยู่ 4-6 หลัง พบเงินสดซุกซ่อนอยู่นับพันล้านบาท และทรัพย์สินอื่นๆ เช่น พระพุทธรูปบูชาหายากกว่า 100 องค์ พระเครื่องชื่อดังจำนวนหลายพันองค์ โฉนดที่ดินจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไปของโฉนดที่ดินเหล่านี้ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ร่วม 1 หมื่นล้าน
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 632/2557 ลงวันที่ 23 พ.ย. 2557 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 95 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2547 ข้อ 8 จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
(อ่านประกอบ : โชว์คำสั่งผบ.ตร.ให้“พงศ์พัฒน์-โกวิทย์”ออกจากราชการ เหตุหมิ่นม.112)
@ แยกสำนวนส่งป.ป.ช. ฟันคดีทุจริตเพิ่ม
ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก) และโฆษก ตร. กล่าวยืนยันสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า เกี่ยวกับคดีนี้ ภายหลังจากที่มีการนำตัวผู้ต้องหา ไปฝากขังต่อศาลอาญาแล้ว ทางตำรวจจะมีการส่งสำนวนคดีนี้ให้กับ ป.ป.ช. ไต่สวนในส่วนคดีทุจริต และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอีกด้วย
ก่อนที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมทั้งนายตำรวจระดับสูง จะเปิดแถลงข่าวคดีนี้อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พร้อมโชว์ภาพถ่ายของกลางทรัพย์สินจำนวนมากที่ยึดมาได้
พร้อมระบุว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เปราะบาง มีการเกี่ยวพันกับบุคคลอื่นอีก ซึ่งมีทั้งตำรวจระดับสูง และอาจมีการแจ้งจับกุมเพิ่มเติม
"ส่วนผู้เกี่ยวข้องเป็นใครถ้ามีหลักฐานไปถึง ใหญ่แค่ไหนก็ต้องจับ" พล.ต.อ.สมยศ ระบุ
(อ่านประกอบ : "สมยศ" ลั่นใหญ่แค่ไหนก็ต้องจับ-โชว์ทรัพย์สิน "พงศ์พัฒน์-พวก” ซุก2พันล.)
@ ออกหมายจับเพิ่มอีก 5 ราย คนสกุล "อัครพงศ์ปรีชา" โดนด้วย
จากนั้น เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) ในฐานะโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าออกหมายจับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการกองสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ว่า จากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างสถาบันฯ ได้มีการทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่า มีผู้ร่วมกระทำความผิดปรากฏรายชื่อดังนี้ 1.นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา 2.นายสิทธิ์ศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา 3.นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 4.นายสุทธิ์ศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ 5.นายชากานต์ ภาคภูมิ
โดยระบุข้อหา “ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำ หรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์” และะขณะนี้กลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดได้ถูกจับกุมแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย
(ภาพจาก Google)
ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สืบค้นปูมหลังของบุคคล ทั้ง 5 พบรายละเอียดดังนี้
1.นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ปรากฎชื่อตรงกับชื่อของว่าที่ พันตรี ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ซึ่งเป็นหนึ่งใน 20 รายชื่อ ตามประกาศสำนักนายก รัฐมนตรี เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เนื่องในโอกาสพระราช พิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2557 ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ช่วยราชการ กองกิจการในพระองค์ ฯ ซึ่งราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ วันที่ 11 เมษายน 2555 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งราชองครักษ์ ทั้งนี้ประกาศระบุว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายทหารสัญญาบัตร เป็นราชองครักษ์เวร จำนวน 5 นาย และ 1 ใน 5 นาย มีชื่อ ร้อยเอก ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา อยู่ด้วย ล่าสุด โฆษกตำรวจออกมาระบุ(โพสต์ทูเดย์)ว่าผู้ถูกกล่าวหาถูกถอดยศพ้นจากตำแหน่งทางราชการแล้ว
2. นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา เป็นเครือญาติกับ 3. นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา ปรากฏชื่อถือหุ้นธุรกิจแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ธุรกิจนี้มีชื่อ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ผกก.ตม.สมุทรสาคร และนางสุดาทิพย์ ภรรยา ร่วมเป็นหุ้นส่วน พ.ต.อ.โกวิท และภรรยานั้นเป็นผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันก่อสร้างแผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าฯ หรือเข้ายึดถือครอบครองป่า และถูกหน่วยงานต้นสังกัดสั่งให้ออกจากราชการ
4.นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ มีข้อมูลระบุทำงานตัดต่อเสียงให้กับภาพยนตร์ไทย และเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านเอกมัย 24 ย่านสุขุมวิท
5.นายชากานต์ ภาคภูมิ เคยตกเป็นข่าวเมื่อ วันที่ 9 พ.ย. 56 ในคดีทะเลาะวิวาทกับกลุ่มวัยรุ่นและใช้อาวุธปืนจนมีผู้บาดเจ็บในงานคอนเสิร์ตของ “จ๊ะ คันหู” เหตุเกิดที่ผับแห่งหนึ่งในท้องที่ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เจ้าตัวอ้างว่าปืนลั่น(ไทยรัฐออนไลน์ 9 พ.ย.56)
ส่วนการตรวจสอบ ข้อมูล นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล (นามสกุลเดิมอัครพงศ์ปรีชา) พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล สามี ผู้ต้องหาคดีบุกรุกแผ้วถางป่า พบว่าเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างน้อย 2 แห่ง คือ
1.บริษัท ศิรินทิพย์ จำกัด จดทะเบียนชื่อ บริษัท อัครพงศ์ปรีชา จำกัด วันที่ 23 มี.ค.49 ทุน 2 ล้านบาท ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ที่ตั้งเลขที่ 999 ชั้น 4 คอนคอร์ส เอฟ หมู่ที่ 1 ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ. สมุทรปราการ ผู้ถือหุ้น 7 คน 3 ใน 7 คน คือ นางสุดาทิพย์ อัครพงศ์ปรีชา 899 หุ้น นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 300 หุ้น นายโกวิท ม่วงนวล (ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น มิได้ใส่ยศตำรวจ) และ บุคคลในครอบครัวคนใกล้ชิดอีก 4 คน รวม 2,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท
แจ้งผลประกอบการปี 2556 มีรายได้ 27,272,433 บาท กำไรสุทธิ 565,455 บาท ปี 2555 รายได้ 26,058,858 บาท กำไรสุทธิ 360,919 บาท
และได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ บริษัท อัครพงศ์ปรีชา จำกัด เมื่อ 25 ส.ค.57
2.ธุรกิจรีสอร์ตในพื้นที่ หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ. สวนผึ้ง จ. ราชบุรี ปรากฎชื่อ สวนผึ้งรีสอร์ท
เบื้องต้น ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้ติดต่อไปยัง สวนผึ้งรีสอร์ท หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ตามเบอร์โทรศัพท์ที่แจ้งไว้ใน เว็บไซต์ของสวนผึ้งรีสอร์ท http://www.suanpeungresort.com/th/contact_us.php ได้รับการยืนยันจากผู้จัดการรีสอร์ท ว่า เจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ คือ นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล
ก่อนที่ พ.ต.อ.โกวิท และ นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้พนักงานสอบสวนให้ประกันตัวไปแล้วโดยให้เหตุผลว่าข้อกล่าวหาของบุคคลทั้งสองมีโทษสถานเบา
(อ่านประกอบ : ขุมธุรกิจ“อัครพงศ์ปรีชา-ม่วงนวล”คดี“พงศ์พัฒน์”, เปิดรีสอร์ท พ.ต.อ.โกวิท-สุดาทิพย์ โยงคดีพงศ์พัฒน์ ก่อนได้ประกันตัว , ฮือฮา!เจ้าของ"สวนผึ้งรีสอร์ท"ประกาศขายกิจการ สั่งรื้อทิ้งพื้นที่ส่วนเกิน10ไร่ , "โกวิท"สามี"สุดาทิพย์"ยันขึ้นป้ายขายสวนผึ้งรีสอร์ทจริง แค่ 5 ล้านก็เอา บอก"เหนื่อย")
@ นพพร ศุภพิพัฒน์ นักธุรกิจพลังงานหมื่นล้าน หนีออกนอกปท.
จากนั้น วันที่ 29 พ.ย.57 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวผู้ต้องหาเพิ่มเติม อีก 2 ราย คือ นายณัฐนนท์ ทานะเวช และนายชลัช โพธิราช ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายหรือจำนนต่อสิ่งนั้นด้วยอาวุธ โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งตำรวจสามารถควบคุมตัวได้ที่บ้านพักย่านดินแดง
โดยมีการระบุข้อมูลว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้รับการว่าจ้างจากนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ให้ไปลักพาตัวนายบัณฑิต โชติวิทยะกุล เจ้าหนี้ เพื่อบังคับให้ลดหนี้สินที่ติดอยู่กว่า 120 ล้านบาท เหลือเพียง 20 ล้านบาท ซึ่งร่วมกระทำกับพวกรวม 6 คน และขณะนี้จับไปได้แล้ว 3 คน
นอกจากนี้ยังพบว่าทั้ง 2 คนนี้อยู่ในกลุ่มทวงหนี้ของนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้และมีความเชื่อมโยงกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยนายชลัช โพธิราช หนึ่งในผู้ต้องหาอ้างว่า เป็นผู้ทำหน้าที่ขับรถเท่านั้นและนำไปส่งตามคำสั่งของนายชากานต์ ภาคภูมิ โดยไม่ทราบว่าตกลงหนี้สินกันเท่าใด ซึ่งตัวเองได้ค่าจ้างเพียง 4,000 บาท
ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการออกหมายจับ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ นักธุรกิจด้านพลังงานชื่อดัง ในเวลาต่อมา แต่เจ้าตัวหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ
(อ่านประกอบ : เปิดตัว“บัณฑิต”เจ้าหนี้“นพพร”เหยื่อคดีอุ้มเครือข่าย พงศ์พัฒน์-พวก , เปิด 12 บริษัท"นพพร"มือจ้างอดีตคนสกุลอัครพงศ์ปรีชาอ้างเบื้องสูงเจรจาลดหนี้ 100 ล. , ไขปมแตกหักธุรกิจ“นพพร-บัณฑิต”ก่อนคดีจ้างกลุ่ม“พงศ์พัฒน์”อุ้มลดหนี้ 100 ล.)
ตามด้วยการออกหมายจับ นายปรีชา ดาราไตร ผู้จ้างวานให้กลุ่มทวงหนี้ไปเจรจาลดหนี้อีกรายหนึ่ง รวมถึง นายไพเชษฐ์ เมธิสริยพงศ์ กก.บริษัทเจ้าของสัมปทาน รถเมล์ สาย 8 ด้วย
(อ่านประกอบ : เจาะข้อมูล"ไพเชษฐ์"กก.รถเมล์สาย 8 ถูกหมายจับอวดอ้างบิ๊กตร.ช่วยเจรจาลดหนี้)
@ "สุดาทิพย์" เจอหมายจับอีกข้อหา แอบอ้างประมูลเครื่องเสวย-ครัวข้าราชบริพาร
และจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกหมายจับ นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อีกครั้ง ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังพบมีพฤติกรรมแอบอ้างประมูลเครื่องเสวยและครัวข้าราชบริพาร ส่วนน.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร ภรรยาของ นายสิทธิศักดิ์ สุวะดี ที่ปรากฎชื่อเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ นางสุดาทิพย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการออกหมายเรียกเชิญตัวมาให้ปากคำ
ก่อนที่จะมีการออกหมายจับ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6.ป และ นายทรงพล ทองสิน ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ลูกน้องคนสนิท และเป็นนอกที่ดูแลบัญชีการเงินให้ พล.ต.ต.โกวิทย์ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน เพิ่มเติมอีก 2 ราย
ขณะที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ได้ออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้เกี่ยวข้องหลายสิบรายการรวมวงเงินกว่า 400 ล้านบาท
ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนข้อมูลเชิงลึก ทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และพวก อย่างเป็นทางการด้วย
(อ่านประกอบ : "ตร."แยกสำนวนส่งป.ป.ช.ฟันทุจริต "พงศ์พัฒน์-พวก5ราย" -ขอตั้งอนุไต่สวนร่วม)
@ คำสั่งปลด-ถอดยศ สำนักพระราชวังไล่ออก ว่อนโลกออนไลน์
ขณะนี้ในโลกออนไลน์ ได้มีการนำหนังสือของกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่แจ้งถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่องยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา”มาเผยแพร่ส่งต่อกันเป็นจำนวนมาก
โดยหนังสือระบุเนื้อหาว่า ด้วยกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขอยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” โดยให้ผู้ใช้ชื่อสกุลพระราชทานนี้ในปัจจุบันกลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม คือ “สุวะดี”
ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.ในฐานะ รรท.ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และโฆษกตร.เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า ได้รับแจ้งหนังสือเรื่องยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” จากกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร แล้ว และจะให้ผู้ต้องหากลับไปใช้นามสกุลเดิม
(อ่านประกอบ : ราชเลขานุการฯ ทำหนังสือแจ้งยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา”)
รวมถึงคำสั่งปลด ถอดยศ "จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา" และ ว่าที่ พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา รวมถึงคำสั่งไล่ออกนายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ออกจากสำนักพระราชวัง ตามออกมาอีกระลอกใหญ่
(อ่านประกอบ : เปิดหมดคำสั่งปลด-ถอดยศ "สิทธิศักดิ์-ณัฐพล" -พระราชวังไล่ออก "ณรงค์" ด้วย)
ต่อมาวันที่ 22 ธ.ค.57 ราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอดยศทหารและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ระบุว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถอด ร้อยเอก ณัฐพลอัครพงศ์ปรีชา สังกัดหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ออกจากยศทหาร ตั้งแต่วันที่๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งปลดออกจากราชการ เนื่องจากกระทำความผิดวินัยทหารประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผิดกฎหมายบ้านเมือง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ที่บุคคลดังกล่าวได้รับพระราชทาน ทั้งนี้ ตามข้อ ๖ และข้อ ๗ (๔) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์พ.ศ. ๒๕๔๘
ประกาศ ณ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รองนายกรัฐมนตรี
@ ออกหมายจับนายตำรวจ เอี่ยวคดีพนันฟุตบอลออนไลน์ อีก 9 นาย
ล่าสุดวันที่ 25 ธ.ค.57 ศาลอาญารัชดาได้อนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมในคดีการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามพนันฟุตบอลออนไลน์ เมื่อปี 2552 ซึ่งมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเครือข่ายของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เพิ่มอีก 9 นายได้แก่ 1. พ.ต.อ. วัชรพล ทองล้วน 2. พ.ต.อ. อธิป แท่นนิล 3. พ.ต.ต. จักรพันธ์ ลีลานัรทวงศ์ 4. ร.ต.อ. นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร 5. พ..ต.อ. สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม 6. พ.ต.ท. อภิสิทธิ์ เมฆประยูร 7. พ.ต.ท. วัฒนา ผลงานดี 8. พ.ต.ท. พิพัฒน์ แฉวงราษฎร์ 9. พ.ต.ต. ศักดิรินทร์ เกษรเศียร
ทำให้สิริรวมเบ็ดเสร็๋จ ตลอดระยะเวลา 1 เดือนเศษ ที่ข่าวเรื่องนี้ ปรากฎความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง มีผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ และเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เป็นจำนวน รวม 34 ราย ดังนี้
1. พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์
2. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์
3. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน
4. พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล
5. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์
6. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา
7.ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง
8.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล
9.นางสวงค์ มุ่งเที่ยง
10.นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช
11. นายชอบ ชินนะประภา
12. นางปิยพรรณ ชินนะประภา
13.นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา (ยกเลิกนามสกุลอัครพงศ์ปรีชาแล้ว)
14.นายสิทธิ์ศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา (ยกเลิกนามสกุลอัครพงศ์ปรีชาแล้ว)
15.นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา(ยกเลิกนามสกุลอัครพงศ์ปรีชาแล้ว)
16.นายสุทธิ์ศักดิ์ สุทธิจิตต์
17.นายชากานต์ ภาคภูมิ
18. นายณัฐนนท์ ทานะเวช
19.นายชลัช โพธิราช
20. นายนพพร ศุภพิพัฒน์
21. นายปรีชา ดาราไตร
22 .นายไพเชษฐ์ เมธิสริยพงศ์
23. พ.ต.อ. วัชรพล ทองล้วน
24. พ.ต.อ. อธิป แท่นนิล
25. พ.ต.ต. จักรพันธ์ ลีลานัรทวงศ์
26. ร.ต.อ. นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร
27. พ..ต.อ. สุพัฒน์ ลิ้มอิ่ม
28. พ.ต.ท. อภิสิทธิ์ เมฆประยูร
29. พ.ต.ท. วัฒนา ผลงานดี
30. พ.ต.ท. พิพัฒน์ แฉวงราษฎร์
31. พ.ต.ต. ศักดิรินทร์ เกษรเศียร
32 .น.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร (ถูกตำรวจออกหมายเรียกตัวมาให้ปากคำ)
33 .พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6.ป
34. นายทรงพล ทองสิน ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
@ โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ ลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์
ขณะที่ความเคลื่อนไหว ของ "อดีตหม่อมศรีรัศมิ์" ภายหลังจากที่ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์แล้ว ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 11 ธ.ค.57 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
มีการยืนยันข่าวจากสื่อมวลชนหลายสำนักว่า หลังจากขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์แล้ว และหย่าขาดจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2557 โดยมีองคมนตรีเป็นพยานในการหย่าครั้งนี้ โดยหม่อมกราบพระบาทแล้วขอทูลลา และไม่ขอรับใดๆ ทั้งสิ้น ขออย่างเดียวถวาย "พระองค์ที" แก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ซึ่งแสดงถึงความคงไว้ซึ่งพระเกียรติยศในความเป็น "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ"
ได้เดินทางมาพักอาศัยเพื่อปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านคุณอภิรุจ และคุณวันทนีย์ หรือ “บ้านอัครพงศ์ปรีชา” บิดาและมารดาของท่านผุ้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี หมู่ที่ 6 ตำบลวัดเพลง อำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี
(ภาพจากไทยรัฐออนไลน์)
และได้เขียนจดหมาติดไว้หน้ารั่วประตูบ้าน มีใจความว่า “เราขอขอบพระคุณผู้สื่อข่าวทุกท่าน ที่ให้ความเป็นห่วงเป็นใย คอยติดตามเสมอมา เราขอความกรุณาผู้สื่อข่าวทุกท่านด้วย ช่วงนี้เราขออยู่ปฏิบัติธรรมเงียบๆ ในบ้านหลังนี้พร้อมครอบครัวอย่างสงบค่ะ”
ลงชื่อ ศรีรัศมิ์ 17 ธ.ค.57
สะท้อนภาพสัจธรรมชีวิตที่ว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ"