ฮือฮา!"กุหลาบแก้ว"ตัวละครเอกคดีซื้อหุ้นชินคอร์ป โชว์เงินปันผลล่าสุด1.8หมื่นล.
พบ บ.กุหลาบแก้ว ตัวละครเอกซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ตระกูลชินวัตร ช่วงปี 49 แจ้งงบดุลล่าสุดปี 56 โชว์รายได้เงินปันผล 1.8 หมื่นล้าน "สุรินทร์ อุปพัทธกุล" หรือ ดาโต๊ะสุรินทร์ นั่งกุมบังเหียนบริหารธุรกิจเหมือนเดิม
บริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด ตัวละครเอกในคดีประวัติศาสตร์การซื้อขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของคนในตระกูลชินวัตร ให้แก่กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 มูลค่ากว่า 7 หมื่นล้านบาท ถูกระบุว่าอาจเป็นการทำธุรกรรมอำพราง นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจล่าสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2556 ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่ามีรายได้จากเงินปันผลเป็นจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในการนำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจล่าสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.56 ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 25 เม.ย.57 ระบุว่ามีรายได้จากเงินปันผล เป็นจำนวน 18,828,225,456 บาท มีดอกเบี้ยรับ 90,878,403 บาท รวมรายได้ 18,919,103,859 บาท
ส่วนรายจ่าย แจ้งว่าค่าใช้จ่ายในการบริหาร 1,907,418 บาท
กำไรก่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 18,917,196,441 บาท
ภาษีเงินได้นิติบุคคล 17,794,071 บาท
ทำให้มีกำไรสุทธิ 18,899,402,370 บาท
ในส่วนข้อมูลทรัพย์สิน บริษัทฯ แจ้งว่า มีสินทรัพย์หมุนเวียน เป็นเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 11,931,879,631 บาท สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 11,504,393 บาท รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 11,943,384,024 บาท
ส่วนสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน มีเงินลงทุนระยะยาวในกิจการที่เกี่ยวข้อง 3,617,600,000 บาท
รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 3,617,600,000 บาท
รวมสินทรัพย์ 15,560,984,024 บาท
มีหนี้สินรวม 14,937,183 บาท
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2549 ทุนปัจจุบัน 4,000 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 582 หมู่ที่ 6 ถนนสุขุมวิท ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ แจ้งประกอบธุรกิจเป็นบริษัทดำเนินธุรกิจในบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (ลงทุน)
ปรากฎชื่อ นาย สุรินทร์ อุปพัทธกุล (ดาโต๊ะสุรินทร์) และนาง สุธีรา อุปพัทธางกูร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 มีนาคม 2557 มีจำนวน 3 ราย โดยนาย สุรินทร์ อุปพัทธกุล ถือหุ้นใหญ่สุด 277,096,397 หุ้นๆ ละ 10 บาท คิดเป็นมูลค่า 2,770,963,970
บริษัท ไซเพรส โฮลดิ้งส์ จำกัด ถืออยู่ 119,615,603 หุ้น มูลค่า 1,196,156,030 บาท
และนาย ศุภเดช พูนพิพัฒน์ ถืออยู่ 3,288,000 หุ้น มูลค่า 32,880,000 บาท
ทั้งนี้ ในการเข้าซื้อหุ้นชินคอร์ป ของ กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.49 มีการตรวจสอบพบหลักฐานว่า บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีบริษัท ซีดาร์โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัท แอสเพนโฮลดิ้งส์ เข้าซื้อหุ้นเมื่อ 23 ม.ค.49 โดยมีผู้ถือหุ้นเกี่ยวโยงกันหลายทอด
โดยเฉพาะบริษัทซีดาร์โฮลดิ้งส์ มีบริษัทกุหลาบแก้ว ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท ไซเพรสโฮลดิ้งส์ จำกัด ถือหุ้นร่วมกันอยู่
จากการตรวจสอบพบหลักฐาน เส้นทางการเงินที่ใช้เป็นเงินทุนของบริษัทกุหลาบแก้วไม่ได้มาจากคนไทย แต่มาจากบริษัทลูกของเทมาเส็ก ซึ่งตามกฎหมายถือได้ว่าเป็นการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อช่วยให้บริษัทซีดาร์โฮลดิ้งส์และบริษัทชินคอร์ปเป็นนิติบุคคลไทย
โดยการซื้อขายหุ้นดังกล่าว ถูกระบุว่า อาจเป็นการทำธุรกรรมอำพราง โดยเฉพาะการใช้บริษัท “นอมินี” ที่เป็นคนไทย ในนาม “บริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด” เป็นการกระที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.กำกับกิจการโทรคมนาคม ซึ่งไม่อนุญาตให้ต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49%
ก่อนที่เรื่องจะเงียบหายไป ขณะที่บริษัท กุหลาบแก้ว ก็ยังดำเนินธุรกิจตามปกติ และแจ้งมีรายได้จากเงินปันผลเป็นจำนวนกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ตามที่มีการตรวจสอบพบข้อมูลล่าสุด
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (ชื่อใหม่ชินคอร์ป) ล่าสุด ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2557 พบว่า ไม่มีชื่อบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ ที่บริษัทกุหลาบแก้ว ถือหุ้นอยู่ เข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
(ดูรายละเอียดตารางแสดงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ ชินคอร์ป ภายหลังการซื้อขายเมื่อวันที่ 23 ม.ค.49)
(ที่มาข้อมูลจากขั้นตอนการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจาก : ปิดฉาก 6 ปีคดีกุหลาบแก้ว ดาโต๊ะสุรินทร์หายตัว-การเมืองเปลี่ยนขั้ว ธุรกรรมอำพราง 7 หมื่นล้านไม่คืบ)