สธ.ดันร่างกม.บุหรี่ฉบับใหม่เข้าครม. หวังปรับให้ทันกลยุทธ์การตลาด
กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ เข้าครม.ปรับปรุงกฎหมายเดิม 2 ฉบับที่ใช้มา 22 ปีให้ทันสมัย ทันกลยุทธ์การตลาดบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ เพิ่มอายุผู้ซื้อจาก 18 ปี เป็น20 ปี
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ. นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.ศิรินา ปวโรฬารวิทยา สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และศ.นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันแถลงข่าว การจัดทำร่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ฉบับใหม่ พ.ศ. ... ว่า
กระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับปรุงร่าง พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่โดยผนวกกฎหมายเดิม 2 ฉบับ คือพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2535และพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 ซึ่งใช้มานาน 22 ปี ให้สอดคล้องกับกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบองค์การอนามัยโลกซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติ ดังเช่นภาคีสมาชิกอื่นๆอีก 178 ประเทศ เพื่อให้มีความทันสมัยและตามทันกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆของบริษัทบุหรี่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทใหม่ ๆ ที่กฎหมายปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมเช่น บุหรี่ไฟฟ้า มอระกู่ เป็นต้นทำให้ภาครัฐไม่สามารถมีเครื่องมือที่จะควบคุมปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีนักสูบหน้าใหม่เข้าไปแทนที่คนที่เลิกบุหรี่ส่วนใหญ่เป็นเด็กและแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้จำนวนนักสูบไม่ลดลงเท่าที่ควรทั้ง ๆ ที่ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมามีคนไทยเลิกสูบบุหรี่ไปแล้วกว่า 5 ล้านคน แต่ก็มีเด็กใหม่ติดบุหรี่เข้ามาทดแทนในจำนวนใกล้เคียงกัน โดยดำเนินการปรับปรุงตามกระบวนการจัดทำกฎหมาย
และผ่านการประชาพิจารณ์ ทั้ง 4 ภาคในพ.ศ. 2555 ซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนเห็นด้วยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ สาระในกฎหมายฉบับใหม่นี้ไม่มีประเด็นใดที่เป็นการกีดกันการค้า หรือขัดต่อกฎกติกาการค้าโลก (WTO) มีประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงประกอบด้วยการปรับปรุงความหมายของผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีสารนิโคตินเป็นส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่เช่น มอระกู่ มอระกู่ไฟฟ้า บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ มีการให้ความหมายของการสื่อสารการตลาด ครอบคลุมถึงการส่งเสริมการขายการแสดงที่จุดขาย (Point of Sale) การขายโดยใช้พริตตี้ การสร้างภาพลักษณ์โฆษณาทางอินเตอร์เน็ต กำหนดอายุขั้นต่ำผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มขึ้นจากเดิม 18 ปี เป็น 20 ปี และห้ามขายบุหรี่แบบแบ่งซอง เพราะการสำรวจพบว่าเด็กอายุ 15-17 ปี ที่สูบบุหรี่ร้อยละ 70 ซื้อบุหรี่เป็นมวน ๆ ซึ่งกฎหมายนี้บังคับใช้แล้วในลาว เมียนมาร์ สิงคโปร์ และบรูไน เพื่อจะทำให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ได้ยากขึ้น นอกจากนี้ ได้เพิ่มการห้ามขายด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ทางอินเทอร์เน็ต ห้ามแสดงราคาผลิตภัณฑ์ยาสูบ ณ จุดขายในลักษณะ จูงใจให้อยากสูบบุหรี่ เป็นต้น ห้ามขายในสถานที่ต่างๆ เช่น วัด สถานบริการสาธารณสุข สถานศึกษา สวนสาธารณะ เป็นต้น ห้ามโฆษณาและสื่อสารการตลาด เช่นห้ามแสดงชื่อ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ยาสูบในสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ตการประกวดหรือการแข่งขัน เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้ จะช่วยลดจำนวนเยาวชนไทยที่จะติดบุหรี่ใหม่ปีละ100,000 คน ให้มีจำนวนลดลงได้ โดยจากสถิติพบว่า เยาวชนไทย 10 คน ที่ติดบุหรี่ 7คนจะเลิกไม่ได้ไปตลอดชีวิต ส่วน 3 คนที่เลิกได้ แต่จะเลิกหลังสูบ 20 ปี โดยบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดการเจ็บป่วยไม่ต่ำกว่า25 โรค ทั้งคนสูบและผู้ที่สูดควัน และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 2 ของคนไทย ในแต่ละปีมีผู้สูบบุหรี่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร50,710 คน อายุสั้นกว่าคนทั่วไป 12 ปี และจะทนทุกข์ทรมานก่อนเสียชีวิต 2 ปี จากการวิจัยพบว่าหากป้องกันเด็กไทยไม่ให้เด็กติดบุหรี่ได้1 คน จะประหยัดค่ารักษาโรคและลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอื่นๆ ได้คนละ 156,000 บาท
คำนวณง่ายๆหากปล่อยให้เด็กสูบบุหรี่เพิ่มปีละ 1 แสนคน จะเกิดการสูญเสียมากถึง 15,600 ล้านบาทขณะนี้ สถานการณ์การสูบบุหรี่ยังน่าเป็นห่วงโดยอัตราการสูบบุหรี่ของชายไทยอายุมากกกว่า 15 ปี อยู่ที่ร้อยละ 40และอัตราการสูบลดลงช้ามาก ที่น่าเป็นห่วงคืออัตราการสูบของเยาวชนกลับเพิ่มขึ้นในหลายปีหลัง จึงมั่นใจว่า กฎหมายฉบับใหม่นี้จะเป็นการวางรากฐานการคุ้มครองสุขภาพของเยาวชนไทย เนื่องจากบุหรี่เป็นสิ่งเสพติด นอกจากมีพิษภัยร้ายแรงในตัวมันเอง ยังเป็นประตูนำไปสู่การเสพสิ่งเสพติดทั้งยาเสพติด สุรา อบายมุข และการชิงสุกก่อนห่ามของวัยรุ่นอีกด้วย
ดร.ศิรินา ปวโรฬารวิทยา สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า บุหรี่เป็นสิ่งเสพติดที่ทำร้ายคนจน ทำให้คนจนยิ่งจนมากขึ้น มีหลักฐานการวิจัยพบว่าบุหรี่มีอำนาจการเสพติดเทียบเท่าเฮโรอิน ผลสำรวจในปี พ.ศ.2552พบว่า กลุ่มประชากรรายได้น้อยที่สุดของไทยที่มีจำนวน 1 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ย2,094 บาทต่อเดือน แต่กลับเสียเงินค่าซื้อบุหรี่เดือนละ450บาท หรือร้อยละ 21.5 ของรายได้ แทนที่จะนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นอื่นๆหากไม่ติดบุหรี่ โดยครึ่งหนึ่งของผู้สูบบุหรี่เหล่านี้พยายามจะเลิกสูบแต่เลิกไม่ได้ ธนาคารโลกจึงแนะนำให้ประเทศต่างๆ ลดความยากจน โดยรณรงค์ให้ประชาชนสูบบุหรี่น้อยลง และเราต้องสนับสนุนให้มีร่างกฎหมายใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ เข้ามาติดบุหรี่ เพื่อลดความยากจนด้วย