ฉบับเต็ม!มติมหาเถรสมาคม ว่าด้วยสวดพระปาติโมกข์ 150 ข้อ “พระอธิการคึกฤทธิ์”
"...ที่ประชุมจึงมีมติอาศัยอํานาจตามมาตรา15ตรี(4) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่2)พ.ศ.2535 ที่กําหนดให้มหาเถรสมาคมมีอํานาจหน้าที่รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา จึงให้คณะสงฆ์ไทยถือปฏิบัติตามพระวินัยปิฎก ด้วยการสวดพระปาติโมกข์ 227 สิกขาบท"
หลังจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) นำข้อร้องเรียนที่ประชาชนแจ้งผ่านศูนย์ออนไลน์และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอเข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา กรณี "พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล" หรือ “พระอาจารย์คึกฤทธิ์” เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ
อาทิ สั่งสอนประชาชนทั่วไปว่า พระไตรปิฎกเชื่อถือได้เฉพาะส่วนที่เป็นพุทธพจน์ ,รวบรวมพระไตรปิฎกเหลือเพียงปิฎกเดียว รวมทั้งรับพระวินัยเพียง 150 ข้อ ส่วนที่เกินพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติไว้ ซึ่งกรณีนี้เป็นเหตุให้วัดนาป่าพงถูกตัดออกจากการเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ไปเมื่อปี 2553
ต่อมา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ปทุมธานี ตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับเจ้าคณะอ.ลำลูกกา เจ้าคณะตำบลทุกตำบลในเขตอ.ลำลูกกา และเจ้าหน้าที่สานักงานพระพุทธศานาจ.ปทุมธานี
ล่าสุด ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศมติมหาเถรสมาคม เรื่อง กรณี พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล วัดนาป่าพง จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2557 โดยระบุว่า กรณีสั่งสอนประชาชนทั่วไปว่าพระไตรปิฎกเชื่อถือไม่ได้เป็นบางส่วน เชื่อถือได้เฉพาะส่วนที่เป็นพุทธพจน์ส่วนอรรถกถาที่เป็นของสาวกเชื่อถือไม่ได้ พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ชี้แจงว่า ได้พูดตามคำสอนของพระศาสดาและเป็นไปตามพระสูตรทุกประการ
ส่วนกรณีรับพระวินัยเพียง 150 ข้อ ส่วนที่เกินพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติไว้ กรณีนี้เป็นเหตุให้พระอาจารย์คึกฤทธิ์ถูกขับออกจากวัดหนองป่าพง พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ชี้แจงว่า รับพระวินัยทั้งหมดที่พระศาสดาทรงบัญญัติ ที่มีอยู่ในพระวินัยปิฎกจำนวน 8 เล่ม ซึ่งมีมากกว่า 2,500 ข้อ จากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐและฉบับหลวง การรักษานั้นรักษาได้ทั้งหมด
ขณะที่กรณีรวบรวมพระไตรปิฎกเหลือเพียงปิฎกเดียว พระอธิการคึกฤทธิ์ ชี้แจงว่า ได้รวบรวมคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระศาสดาทั้งชีวิตที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ภาษบาลีอักษรสยาม และฉบับหลวงที่เป็นภาษไทยไว้ในหนังสือพุทธวจนปิฎกซึ่งมีจำนวน 33 เล่ม นำมาจัดระเบียบให้เรียบร้อย โดยไม่มีการดัดแปลงแก้ไขแต่อย่างใด
ประกาศยังระบุว่า เจ้าคณะอำเภอลำลูกกาและเจ้าคณะตำบลได้ให้คำแนะนำให้พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศมหาเถรสมาคม ซึ่งท่านก็รับฟังด้วยดีและได้น้อมรับคำแนะนำจากคณะกรรมการฯ เพื่อนำไปสู่ความเป็นเอกภาพของคณะสงฆ์ไทย
ส่วน พระปาติโมกข์ที่พระสงฆ์สวดทุกวันพระ 14 และ 15 ค่ำ มี 227 ข้อ แต่พระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล รับพระวินัยเพียง 150 ข้อ ประกอบด้วย ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92 ปาฏิเทสนียะ 4 อธิกรณสมถะ 7 ส่วนที่พระคึกฤทธิ์ ไม่รับ คือ อนิยต 2 และเสขิยวัตร 75
หากยังให้มีการทําสังฆกรรมทางพระวินัย โดยสวดพระปาติโมกข์เพียง 150 ข้อ อาจลุกลามเป็นการแตกแยกความสามัคคีของสงฆ์และก่อให้เกิดวิวาทะระหว่างพุทธศาสนิกชนไม่รู้จบ อันอาจลุกลามการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย ซึ่งอาจส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทยได้ จึงเห็นควรนําเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดพิจารณา
ทั้งนี้ ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า ประเพณีการสวดพระปาติโมกข์ของคณะสงฆ์ไทย ได้กําหนดให้สวด 227 สิกขาบท ตามที่ปรากฏหลักฐานยืนยันในพระวินัยปิฎกทั้ง 8 เล่ม โดยเฉพาะพระวินัยปิฎกเล่มที่ 1 และเล่มที่ 2 ที่ชื่อว่ามหาวิภังค์ ได้แสดงรายละเอียดของการที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท 227 ข้อ พร้อมด้วยต้นบัญญัติและอนุบัญญัติ พระวินัยปิฎกเล่มที่ 2 ได้สรุปไว้ชัดเจนว่า สิกขาบทในพระปาติโมกข์ที่มาสู่อุเทศคือการสวดทุกครึ่งเดือนมีจํานวน 227 ข้อ ซึ่งรวมอนิยต 2 และเสขิยวัตร 75 ไว้ด้วย
การกล่าวอ้างว่า สิกขาบทในพระปาติโมกข์มีเพียง 150 ข้อ โดยตัดอนิยต 2 และเสขิยวัตร 75 ออกจากการสวดพระปาติโมกขนั้น เป็นการอ้างอิงจากพระสุตตันตปิฎก โดยเฉพาะพระสูตร 4 สูตรคือ วัชชีบุตรสูตร ปฐมสิกขาสูตร ทุติยสิกขาสูตรและตติยสิกขาสูตร ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 20 อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต มีข้อความที่กล่าวถึงสิกขาบทในพระปาติโมกข์จํานวน 150 ข้อ
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็คือสิกขาบทในพระปาติโมกข์มีเพียง 150 ข้อตามที่ระบุไว้ในพระสูตรดังกล่าว เมื่อตรวจสอบหลักฐานพระไตรปิฎกฉบับที่แปลเป็นภาษาต่างๆ แล้วพบว่า มีการแปลแตกต่างกันออกไป คือมีทั้งฉบับที่แปลว่า “สิกขาบท 150 ถ้วนมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน” และฉบับที่แปลว่า “สิกขาบทเกินกว่า 150 ข้อมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน” คําในต้นฉบับภาษาบาลี ที่เป็นเหตุแห่งการแปลว่า “ถ้วน ” และ “เกินกว่า” ก็คือคําว่า “สาธิกํ” ซึ่งอรรถกถาหลายแห่งกําหนดให้แปลว่า "เกินกว่า" เช่น คําว่า “สาธิกนวุติ” ให้หมายถึง “อติเรกนวุติ” แปลว่า “เกินกว่า 90”
ดังนั้น การแปลที่ว่า “สิกขาบทเกินกว่า 150 ข้อ ” ถือว่ายึดตามการแปลตามแนวอรรถกถา และแสดงว่าสิกขาบทในพระปาติโมกข์ตามแนวแห่งพระสูตรทั้งสี่มีมากกว่า 150 ข้อ แม้จะยึดตาม แนวการแปลพระสูตรทั้งสี่ที่ว่า "สิกขาบท 150 ถ้วนมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน" ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่า สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ทั้งหมดมีเพียง 150 ข้อเท่านั้น
ทั้งนี้เพราะอรรถกถาของวัชชีบุตรสูตร ระบุว่า เป็นการกล่าวถึงจํานวนสิกขาบทเท่าที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในเวลาที่แสดงพระสูตรนี้เท่านั้น นั่นหมายถึงว่า หลังจากที่ทรงแสดงพระสูตรนี้ ก็ได้มีการบัญญัติสิกขาบทในพระปาติโมกข์เพิ่มเติมจนครบ 227 ข้อ ดังที่พระวินัยปิฎกเล่มที่ 8 คัมภีร์บริวารบันทึกไว้ว่า พระอุบาลีได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิกขาบทในพระปาติโมกข์มีจํานวนเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า มี 220 ข้อ เมื่อรวมกับอธิกรณสมถะตามคัมภีร์มหาวิภังค์อีก 7 ข้อ ก็ได้สิกขาบทในพระปาติโมกข์จํานวน ทั้งสิ้น 227 ข้อ
ซึ่งพระสังคีติกาจารย์ผู้ทําการสังคายนาครั้งที่ 1 ได้ให้การรับรองตามนั้นและได้มีมติยืนยัน ในการสังคายนาครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ว่าสิกขาบทในพระปาติโมกข์มี 227 ข้อ โดยถือเป็นประเพณี ปฏิบัติในการสวดพระปาติโมกข์สืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ประชุมจึงมีมติดังนี้ 1.อาศัยอํานาจตามมาตรา15ตรี(4) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ที่กําหนดให้มหาเถรสมาคมมีอํานาจหน้าที่รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา จึงให้คณะสงฆ์ไทยถือปฏิบัติตามพระวินัยปิฎก ด้วยการสวดพระปาติโมกข์ 227 สิกขาบท
2. เพื่อการนี้ ให้ทําเป็นประกาศมติมหาเถรสมาคมและมอบให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาคเพื่อทราบ แจ้งเจ้าคณะจังหวัดทั้งสองฝ่ายเพื่อแจ้งวัดในเขตปกครองทราบและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและให้ดําเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม
จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2557
นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์
ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เลขาธิการมหาเถรสมาคม
ขอบคุณภาพจาก:www.brighttv.co.th