ทีดีอาร์ไอเล็งเสนอทิศทางพัฒนา ศก.ไทย 3 ทศวรรษหน้า 24 พ.ย.นี้
“ในการทำหน้าที่ในการกำกับดูแลธุรกิจเอกชน รัฐจะต้องเป็นที่พึ่งพิงของ “ผู้บริโภค” หรือ “ประชาชน” มากกว่าผู้ประกอบการ”
ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงกรณีที่เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม (World Economic Forum-WEF) เปิดเผยการจัดอับดับเศรษฐกิจโดยประเทศไทยถูกอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางว่า จากการจัดอันดับทำให้เราต้องกันมาให้ความสำคัญแก่การเพิ่มผลิตภาพของปัจจัยการผลิตที่สำคัญได้แก่ แรงงาน และกฎกติกาของสถาบันภาครัฐนั้นเอง และต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิตก่อนที่จะก้าวไปสู่กลุ่มประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนวัตกรรม
ผอ.การวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ TDRI กล่าวถึงการจัดอันดับขีดความสารถของไทยในปี 2556 พบว่า มีเศรษฐกิจมหภาคที่มีเสถียรภาพ และมีขนาดและประสิทธิภาพของของตลาดสินค้าภายในประเทศ และระดับการพัฒนาของภาคการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี แต่ขาดความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี แรงงานที่มีทักษะ
ประกอบกับด้านที่มีปัญหามากที่สุด คือ ขาด กฎ กติกาของภาครัฐที่เอื้อต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการในการแข่งขัน พร้อมกันนี้จากตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีและมีโอกาสจะเติบโตได้ แต่ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตของประเทศมาโดยตลอดคือ การขาดประสิทธิภาพของทุน แรงงาน และความอ่อนแอเชิงสถาบัน (ซึ่งหมายถึงการบริหารจัดการของภาครัฐ) ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีพลวัตรได้
“การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. 2533 – 2555 ที่ผ่านมานั้นเกิดจากการเพิ่มผลิตภาพของแรงงานเป็นหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการโยกย้ายแรงงานออกจากภาคเกษตรที่มีผลิตภาพต่ำไปสู่ภาคการผลิตที่มีผลิตภาพแรงงานสูงกว่า แต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยมีการจ้างงานที่จำกัด ไม่สามารถดูดซับแรงงานได้อีกเท่าไรนัก ทำให้ไทยไม่สามารถพึ่งพาวิธีการดังกล่าวอีกต่อไป ดังนั้น ต้องหันมาสร้างทักษะแรงงาน”ดร.เดือนเด่น กล่าวและว่า ในทางกลับกันปัจจัยทุนมีอัตราการเพิ่มผลิตภาพเฉลี่ยที่ติดลบในช่วงเวลาดังกล่าวสะท้อนว่าที่ผ่านมาการลงทุนของเรามีประสิทธิภาพต่ำ
ดร.เดือนเด่น กล่าวถึงการศึกษาการเร่งตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันในอดีต พบว่า ประเทศเหล่านี้มีอัตราการลงทุนที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับกับการลงทุนที่มีประสิทธิภาพในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยมีอัตราส่วนของการลงทุนต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ของประเทศที่ต่ำ หรือเรียกว่า Incremental Capital Output Ratio (ICOR) ซึ่งหมายความว่าประเทศมีการใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 2.5 – 4 จึงชี้ให้เห็นว่าประเทศเหล่านี้ลงทุน ประมาณ 3 หน่วยจะส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น 1 หน่วย
ด้านตัวเลข ICOR ของประเทศไทยในช่วงหนึ่งทศวรรษก่อนวิกฤตทางการเงินในปี พ.ศ. 2540 อยู่ที่ 3.81 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ แต่ช่วงหลังวิกฤติ พ.ศ. 2543 – 2555 คือ 5.72 ในช่วงปี พ.ศ. 2543 - 2555 ซึ่งตอกย้ำว่าการลงทุนของเราไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
พร้อมกันนี้คณะผู้วิจัยเห็นว่า การที่ประเทศไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพนั้นจะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพของการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบกับปัจจัยที่ถ่วงประสิทธิภาพของทุนได้แก่ การลงทุนของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพต่ำ การกำกับดูแลธุรกิจของภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงหรือเสถียรภาพของระบบมากกว่าประสิทธิภาพของธุรกิจ และไทยการกำหนดนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจของภาครัฐที่ขาดทิศทางทำให้การลงทุนของภาคเอกชนไร้ทิศทางเช่นกันจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น ปัจจัยปัญหาที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจคือ การบริหารจัดการของภาครัฐที่สอดคล้องกับการจัดลำดับของ WEF ปัจจัยด้านสถาบันได้คะแนนต่ำที่สุด
สำหรับข้อเสนอในการพัฒนาเศรษฐกิจ ผอ.การวิจัยด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ TDRI กล่าวว่า การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศใน 30 ปีข้างหน้านั้นต้องพึ่งพาภาครัฐที่ “รู้” บทบาทและที่สามารถ “เล่น “ บทบาทขององค์กรดี รัฐจะต้อง “รู้” ว่าต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น “ผู้ให้บริการ” มาเป็น “ผู้กำกับดูแลธุรกิจเอกชน” มากขึ้น ซึ่งหมายความว่าขนาดของวิสาหกิจของรัฐต้องเล็กลงกว่าในปัจจุบัน
ทั้งนี้ควรให้ความสำคัญแก่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการยกระดับผลิตภาพทุนและแรงงาน โดยในการดำเนินการดังกล่าว ควรใช้วิธีการร่วมทุนกับภาคเอกชนมากขึ้นเพื่อที่จะลดภาระทางการคลังและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ รวมทั้งมีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจและเป็นผู้ดำเนินการเองมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงโครงการก่อสร้างที่มาจากส่วนกลางที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนในท้องที่
“ในการทำหน้าที่ในการกำกับดูแลธุรกิจเอกชนนั้น รัฐจะต้องเป็นที่พึ่งพิงของ “ผู้บริโภค” หรือ “ประชาชน” มากกว่าผู้ประกอบการ ซึ่งหมายถึงการมีบริการที่มีความหลากหลาย มีคุณภาพ และมีต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องมาจากแรงกดดันของการแข่งขันในตลาด หรือ วิธีการกำกับดูแลที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการต้องลงทุนแทนการส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดให้แก่ประชาชน” ดร.เดือนเด่นกล่าว
สำหรับทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต ดร.เดือนเด่นกล่าวว่า เนื่องจากทรัพยากรของประเทศมีจำกัด รัฐจึงต้องเลือกที่จะลงทุนในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจการผลิตหรือบริการบางประเภทเท่านั้น โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สร้างองค์กร สถาบัน รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนฝึกอบรมทักษะของแรงงานที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง รวมถึงการเลิก “อุ้ม” ธุรกิจต้นน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพด้วย ความชัดเจนในเชิงนโยบายจะทำให้การลงทุนของภาครัฐสามารถหนุนเสริมการลงทุนของภาคเอกชนส่งผลให้การลงทุนโดยรวมของประเทศมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี การเรียกร้องให้รัฐเข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางการปรับโครงสร้าง หรือยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นเป็นสิ่งที่สุ่มเสี่ยงเพราะมีความเสี่ยงที่รัฐจะล้มเหลว แต่ประสบการณ์ในประเทศที่สามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ประเทศปานกลาง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ไต้หวัน ล้วนแสดงถึงบทบาทของภาครัฐที่เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดัน การสร้างสถาบันที่ดีเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก เช่นเดียวกับการสร้างระบบการศึกษาที่ดี แต่ไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว เพราะการพัฒนาแบบไร้ทิศทางของประเทศไทยดูเหมือนจะมาสู่ทางตัน
ทั้งนี้การเสนอรายละเอียดผลการศึกษาและข้อเสนอแนะดังกล่าวจะมีขึ้นในงานสัมมนาวิชาการทีดีอาร์ไอ ประจำปี 2557 เรื่อง ประเทศไทยในสามทศวรรษหน้า : สี่ความท้าทายเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ” ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิล์ด โดยทีดีอาร์ไอขอเชิญชวนผู้สนใจติดตามการถ่ายทอดสดการสัมมนาได้ที่ www.tdri.or.th และร่วมสอบถามหรือแสดงความคิดเห็นได้ทาง www.facebook.com/tdri.thailand และTwitter: @tdri_thailand