สะท้อนจากนักข่าวทำเนียบ สื่อถูกจำกัดพื้นที่-เข้าถึงแหล่งข่าวยาก
ในวันที่ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ระเบิดอารมณ์กับการทำหน้าที่ตรวจสอบของสื่อมวลชนแทบทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร
“สำนักข่าวอิศรา” สนทนากับเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อในสนามข่าว ถึงความสัมพันธ์ของนักข่าวกับผู้นำรัฐบาล รวมทั้งการทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้านในยุคปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
“มานพ ทิพย์โอสถ” ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สะท้อนว่า เอาเข้าจริงแล้ว วิวาทะระหว่างนักข่าวกับนายกฯ เป็นเรื่องปกติ แต่วันใดนักข่าวเห็นด้วยกับนักการเมืองหรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารไปเสียทุกเรื่อง นั่นต่างหากคือความผิดปกติของสื่อ
“หากเราเออออห่อหมกว่ารัฐบาลทำอะไรก็ถูกไปหมด นั่นคือความผิดปกติของสื่อแน่นอน ขณะเดียวกันคนที่เป็นผู้นำรัฐบาลเห็นนักข่าวทำอะไรก็เยินยอไปหมด ก็จะไม่เกิดผลดีต่อประเทศเลย”
“มานพ” มองว่า หน้าที่ของนักข่าวคือการตรวจสอบ บางสิ่งสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าถูกต้อง ก็อาจมีคนเห็นต่างและสะท้อนผ่านสื่อว่าไม่ใช่อย่างนี้ เช่น นโยบายจ่ายเงินให้ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ก็มีคนไม่เห็นด้วย และสะท้อนผ่านสื่อมวลชนให้ซักถาม ตรวจสอบ ให้เห็นข้อเท็จจริง
“ฉะนั้น การปะทะคารมระหว่างนักข่าวกับแหล่งข่าวระดับผู้นำรัฐบาลมีมาทุกยุคทุกสมัย และควรจะมีทุกวันด้วย เพราะคงไม่มีใครเห็นเหมือนกันหมด ต่างคนต่างทำหน้าที่ เพื่อให้เกิดความสมดุลกัน”
นักข่าวบางกอกโพสต์ ชี้ว่า ปัจจุบันการความยากง่ายของการทำหน้าที่ของสื่อเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของนักข่าวกับแหล่งข่าวระดับผู้บริหารประเทศ ซึ่งสมัยนี้นักข่าวมีเครื่องมือสื่อสาร มีเทคโนโลยี ติดต่อแหล่งข่าวได้สะดวกสบายกว่าในอดีต
เขาเล่าว่า สมัยก่อนนักข่าวการเข้าถึงแหล่งข่าวระดับสูงเป็นเรื่องยาก การพบปะแหล่งข่าวต้องตื่นเช้าไปเฝ้าข่าวที่กระทรวง ทำเนียบฯ กว่าจะได้ข่าวแต่ละชิ้นป้อนเข้าโรงพิมพ์ไม่ใช่เรื่องง่าย
“แต่ก่อนไม่ง่ายที่จะเข้าถึงแหล่งข่าวระดับสูง ต้องใช้เวลา ใช้ความพยายาม แต่เมื่อเข้าถึงแหล่งข่าว โดยเฉพาะการเข้าถึงผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งก็จะไม่ยาก เพราะเขาเหล่านั้นเป็นนักการเมือง เข้าพรรค เจอนักข่าว ก็เห็นหน้า รู้จักกัน อย่างคุณบรรหาร(ศิลปอาชา) พลเอกชวลิต(ยงใจยุทธ) คุณชวน(หลีกภัย) ก็จะคุ้นเคยกับนักข่าว หรือแหล่งข่าวที่เป็นนักการเมืองท่านอื่นๆก็จะมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับนักข่าว มีการกินกาแฟ พูดคุยหยอกล้อกัน”
แตกต่างจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน เนื่องจากเป็นข้าราชการประจำ เป็นทหาร ซึ่งอาจไม่เคยคลุกคลีกับนักข่าว หรือมีระยะห่างจากนักข่าวพอสมควร
“สุพิศ สุจินตะกูล” ผู้สื่อข่าวจากไทยรัฐประจำทำเนียบรัฐบาล บอกว่า นักข่าวรังนกกระจอกจะเข้าถึงผู้นำแหล่งข่าวจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ง่ายกว่าผู้นำหรือรัฐบาลที่มาจากการเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง
เธอเล่าว่า ในยุคนี้ นักข่าวถูกจำกัดพื้นที่ในการทำข่าวมากขึ้นเนื่องจากมีกฎระเบียบเข้มงวดรัดกุม ล่าสุด มีกฎเหล็กจากรัฐบาลว่าแหล่งข่าวต้องได้รับการอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเสียก่อน ถึงจะสามารถให้ข้อมูลข่าวสารกับสื่อได้
“ข้อมูลข่าวสาร เช่น วาระครม. ก็จะเป็นชั้นความลับ ข้าราชการหรือแหล่งข่าวทำเนียบฯต้องถามผู้บังคับบัญชาก่อนจะให้ข่าวกับสื่อ แต่พี่คิดว่าก็เป็นข้อดี ที่ทำให้นักข่าวต้องทำงานหนักมากขึ้น ต้องดับเบิ้ลเช็คข้อมูลให้รอบคอบ เพิ่มความขยันของเราให้มากขึ้น”
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำคนปัจจุบันกับผู้สื่อข่าวทำเนียบฯ?
สุพิศ ตอบว่า ผู้นำแต่ละยุคสมัยมีบุคลิกแตกต่างกัน แต่เมื่อเข้ามาบริหารประเทศย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เพราะนักข่าวมีหน้าที่ตรวจสอบเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติ
“ไม่ว่าผู้นำประเทศจะเป็นใคร นักข่าวต้องทำหน้าที่ตรวจสอบเมื่อเกิดความผิดปกติหรือเกิดข้อสงสัยจากสังคม ทั้งการตรวจสอบนโยบาย ตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดิน เพราะบุคลิกนักข่าวคือความช่างสงสัย จึงหนีไม่พ้นการทำหน้าที่ตรวจสอบ”
“เลอลักษณ์ จันทร์เทพ” นักข่าวสาวไฟแรงประจำทำเนียบฯจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ เห็นว่า การทำงานในยุคผู้นำทหารกับรัฐบาลกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีความแตกต่างกันชัดเจน
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำงานสะดวกกว่าและอิสระกว่า เช่น การตามนายกฯ ส่วนพลเอกประยุทธ์ จะไม่ให้มีการติดตามขบวน แต่จะให้สื่อไปดักรอล่วงหน้า
ส่วนพื้นที่ในทำเนียบฯ ถูกกำหนดพื้นที่ในการทำข่าว มีกฎระเบียบที่ชัดเจนมากขึ้น เข้าถึงแหล่งข่าวได้ยากขึ้น ส่วนใหญ่ข่าวที่ได้มักเป็นข่าวแถลง
ขณะที่ความสัมพันธ์นายกฯกับนักข่าวมีหลากหลายอารมณ์ บางวันท่านก็อารมณ์ดี โบกมือทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บางวันร้องเพลงให้นักข่าวฟังก็ทำมาแล้ว ซึ่งเธอมองว่า บุคลิกนายกฯแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน
“...คนปัจจุบันท่านเสียงดัง ฟังชัด ว่ากันตรงๆ จบแล้วก็จบกัน ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน สื่อก็ทำหน้าที่ตรวจสอบต่อไป”
ขอบคุณภาพจาก
คลังภาพ ศูนย์สื่อทำเนียบ