แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องรัฐบาลไทยตรวจสอบข้อกล่าวหาทรมานผู้ต้องหาคดีเกาะเต่า
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องรัฐบาลไทยตรวจสอบข้อกล่าวหาที่ว่าตำรวจทรมานผู้ต้องหา และต้องเคารพสิทธิมนุษยชนในการสอบสวนคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยว รัฐบาลไทยต้องให้การประกันว่าจะมีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระและรอบด้านต่อข้อกล่าวหาที่เพิ่มขึ้น ที่ว่าตำรวจใช้การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย อีกทั้งเรียกร้องให้เคารพสิทธิผู้ต้องหาที่จะต้องได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ในระหว่างการสอบสวนกรณีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองคนบนเกาะเต่า
ภายหลังการจับกุมพลเมืองชาวพม่าสองคนที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมฮันนาห์ วินเทอริจ (Hannah Witheridge) และเดวิด มิลเลอร์ (David Miller) เมื่อเดือนที่แล้ว นักกฎหมายจากทีมกฎหมายของสถานเอกอัครราชทูตพม่าประจําประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสพบกับผู้ต้องหาทั้งสองคนบอกว่า หนึ่งในสองคนกล่าวหาว่าตำรวจทรมานและข่มขู่เขาด้วยการใช้ไฟฟ้าช็อต
แหล่งข่าวอีกมากมายยังรายงานว่า มีการทรมานและปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนงานข้ามชาติจากพม่าที่ถูกตำรวจจับกุมในระหว่างการสอบสวนคดีนี้
ริชาร์ด เบนเน็ต (Richard Bennett) ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ทางการไทยต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนที่เป็นอิสระ มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสต่อข้อกล่าวหาที่มากขึ้นว่า ตำรวจใช้การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย
“แรงกดดันเนื่องจากความสนใจของสาธารณะ เป็นเหตุให้ต้องคลี่คลายคดีอาชญากรรมที่ทารุณ ไม่ควรส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิ รวมทั้งการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม”
วินเทอริจและมิลเลอร์ นักท่องเที่ยวอายุ 23 และ 24 ปีตามลำดับ ถูกฆาตกรรมช่วงรุ่งสางวันที่ 15 กันยายน บนเกาะเต่าซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
ตามรายงานข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซ้อมคนงานข้ามชาติจากพม่าในระหว่างการสอบปากคำเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น มีการข่มขู่พวกเขา และเอาน้ำเดือดราดใส่
แม่ของผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่ถูกซ้อมให้ข้อมูลว่า ตำรวจไทยสั่งไม่ให้เหยื่อการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน และข่มขู่พวกเขา
“ทางการควรให้ความคุ้มครองเพื่อไม่ให้มีการข่มขู่ และไม่ให้มีการตอบโต้กับบุคคลใด ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะการเข้าเมืองเป็นอย่างไร กรณีที่พวกเขารายงานข่าวหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย และต้องจัดให้มีการเยียวยาอย่างเต็มที่กับผู้เสียหาย”
“อีกทั้งยังต้องให้การประกันว่าศาลจะไม่รับฟังหลักฐาน กรณีที่เป็นคำรับสารภาพหรือข้อมูลที่มาจากการบีบบังคับและการทรมาน เว้นแต่เป็นการใช้ข้อมูลนั้นเพื่อพิสูจน์ว่ามีการทรมานเกิดขึ้นจริง” ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
ในเดือนพฤษภาคม 2557 คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ แสดงข้อกังวลร้ายแรงต่อข้อกล่าวหาอย่างต่อเนื่องว่า มีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างกว้างขวางกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เรือนจำไทย ทางคณะกรรมการกระตุ้นให้ทางการไทยใช้มาตรการโดยทันทีและอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสอบสวน ฟ้องร้องดำเนินคดี และลงโทษผู้กระทำผิด
“การสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการทรมานเหล่านี้ ควรเป็นภารกิจของหน่วยงานอิสระ ไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวจสอบสวนเอง”
ทางการได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และมีการถ่ายทอดสัญญาณภาพทางโทรทัศน์ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
“ผู้ต้องสงสัยทุกคนควรได้รับการคุ้มครองให้มีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในความผิดที่มีโทษประหารชีวิต” ริชาร์ด เบนเน็ตกล่าว
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตและเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอาชญากรรม
ที่มาภาพ:https://www.amnesty.or.th/sites/default/files/201210_thailand-britain-crime-tourism_0.jpg