ทหารแก้ได้แค่ปลายเหตุ...ชูยุทธศาสตร์การศึกษาชี้ขาดไฟใต้
แม้ภาพรวมสถานการณ์ชายแดนใต้ช่วง 3-4 เดือนมานี้จะดูดีขึ้น มีเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ไม่มากนัก แต่ทิศทางของสถานการณ์ก็ยังไว้วางใจไม่ได้
ความรับผิดชอบในการแก้ปัญหายุคนี้ ซึ่งถือเป็นยุคของรัฐบาล คสช. หรือรัฐบาลหลังการเข้าควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่ในกำมือของ "กอ.รมน." หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร แบบเบ็ดเสร็จ ทั้งในระดับขับเคลื่อนนโยบาย และแปรนโยบายสู่ภาคปฏิบัติ
ในส่วนกลางมี กอ.รมน.ใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นผู้อำนวยการโดยตำแหน่ง มีกองทัพบกเป็นหน่วยนำ ขณะที่ในพื้นที่ชายแดนใต้ กลไกสำคัญในฝ่ายปฏิบัติก็อยู่กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นผู้อำนวยการ
ฉะนั้นการอ่านทิศทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้ จึงต้องอ่านผ่าน กอ.รมน.
มุมมองของ กอ.รมน.ชี้ว่า การส่งกำลังทหารลงไปแก้ไขสถานการณ์ที่ชายแดนใต้ เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซ้ำบางครั้งยังไปสร้างเงื่อนไขใหม่อีกด้วย แนวทางการแก้ไขที่ถูกต้อง ต้องไปจัดการที่ต้นเหตุ คือ ด้านการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต
"สมมติว่ากลุ่มเขามี 2 พันคน จัดการจนหมด ซึ่งมันหมดแน่นอน แต่ถามว่ามันจะหมดไปสักกี่ปี มันเป็นเรื่องของวิธีการ แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันยังเป็นแบบเขาตาย 1 เพิ่ม 2 ตาย 5 เพิ่ม 10 คำถามคือจะทำอย่างไรไม่ให้เพิ่ม นี่คืองานด้านความมั่นคงที่แท้จริง การใช้ทหารมันผิดวิธี เพราะการลดจำนวนหรือไม่ทำให้เพิ่มจำนวนแนวร่วมของเขา ต้องเป็นงานพลเรือน เนื่องจากบางครั้งการใช้กำลังทหารมันกลายเป็นการไปสร้างเงื่อนไขให้เกิดขึ้นในบางกรณี"
"ทางแก้ที่ดีที่สุดและตรงจุดที่สุด คือ การศึกษา ถามว่าถ้าเด็กบ้านนี้เรียนดี เรียนเก่ง มีความรู้ เขาจะไปเป็นแนวร่วมหรือไม่ ทุกวันนี้เราทำแต่งานด้านความมั่นคงทางทหารเพียงอย่างเดียว คือ ยุ่งอยู่กับปลายเหตุ ปลายน้ำ แต่ต้นน้ำหรือต้นเหตุยังคงผลิตแนวร่วมออกมาตลอด" แหล่งข่าวระดับสูงใน กอ.รมน.ซึ่งรับผิดชอบงานชายแดนใต้มาตลอด กล่าว
อย่างไรก็ดี แนวทางการพัฒนาการศึกษาต้องสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมของท้องถิ่นด้วย ซึ่งจากข้อมูลที่ กอ.รมน.รวบรวมมาพบว่า ต้องจัดการศึกษาแบบพิเศษในพื้นที่นี้
"หลักสูตรการศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขณะนี้ คือ เช้าให้เด็กเรียนวิชาการ ตกบ่ายเรียนศาสนาต่อเป็นภาษาอาหรับ ฉะนั้นจึงต้องจัดการศึกษาของรัฐให้ใกล้เคียงกับแนวทางนี้ ให้เด็กมีช่องทางศึกษาต่อในขั้นสูง เรียนจบแล้วต้องมีงานทำ และได้ทำงานอย่างมีเกียรติ อาจต้องปรับปรุงระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีๆ มากขึ้น" แหล่งข่าวใน กอ.รมน.ระบุ
โจทย์ข้อยากของชายแดนใต้ ณ เวลานี้ คือ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามได้รับความนิยมอย่างมาก และยังได้งบอุดหนุนรายหัวจากรัฐ ทิศทางที่ กอ.รมน.กำลังพิจารณา และเป็นโจทย์ของกระทรวงศึกษาธิการ ก็คือ จะมีโครงการส่งเสริมโรงเรียนของรัฐอย่างไร ไม่เฉพาะสายสามัญ แต่รวมถึงโรงเรียนอาชีวะด้วย
โดยเฉพาะโรงเรียนอาชีวะในพื้นที่ซึ่งมีถึง 29 แห่ง แต่แทบไม่มีเด็กเข้าไปเรียนเลย ซึ่งมาจากเหตุผลเดียวกันกับโรงเรียนสายสามัญ คือ ไม่มีการเรียนการสอนศาสนาเหมือนโรงเรียนเอกชน ทั้งๆ ที่การเรียนการสอนอาชีวะสอดคล้องกับวิถีของอิสลามมากที่สุด สามารถดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง มีเวลาปฏิบัติศาสนกิจเต็มที่ เพราะเป็นการเรียนสายอาชีพ
"เรื่องการเรียนการสอนศาสนา ต้องมาช่วยดูกันว่าทำอย่างไรให้ผู้เรียนสามารถศึกษาต่อไปจนกระทั่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือดอกเตอร์ทางศาสนาได้ ต้องส่งเสริมคนที่เก่งมากๆ ในด้านนี้ให้สามารถก้าวไปเป็นแกรนด์อิหม่าม หรือเป็นอุสตาซระดับโลก แต่สภาพการณ์ทุกวันนี้ คือ เด็ก 2-3 แสนคนในพื้นที่แทบไม่มีความรู้ด้านอื่นเลย จะศึกษาต่อก็ไม่มีช่องทางมากพอ ถ้าระบบยังเป็นอย่างนี้ ก็ทำให้เยาวชนไม่มีทางไป"
"น่าคิดว่าถ้าคนในพื้นที่สนใจเรื่องศาสนาเป็นหลัก ทำไมไม่ให้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดหรือประจำอำเภอไปเลย คือรัฐเลือกส่งเสริมไปเลย แล้วจัดการให้ดี และไปเพิ่มเรื่องความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนที่ต้องเน้นหนักเป็นพิเศษ" แหล่งข่าวคนเดียวกัน ระบุ
จากหลักคิดดังกล่าว ทำให้พอมองเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาจะเป็นยุทธศาสตร์หลักในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ระยะต่อไป เพราะถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด และเป็นทางออกที่แท้จริงของปัญหาที่ยืดเยื้อมานานกว่าสิบปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ เริ่มจำกัดวงความรุนแรงเอาไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ!
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : *ศักรินทร์ เข็มทอง เป็นผู้สื่อข่าวสายการเมือง-ความมั่นคง หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ