ฟังชัดๆ เหตุผลศาลปค."สอนหน้าที่" 28 สนช.ปมยื่นทรัพย์สิน ก่อนร้องศาลสูงชี้ขาด
”…หน้าที่ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. เป็นเรื่องส่วนตนโดยแท้ของผู้อาสาเข้ามารับภาระของบ้านเมือง หาใช่หน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่จะต้องเรียกให้มีคำสั่งให้ผู้ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินฯ ตามนัยมาตรา 32 ดังกล่าวข้างต้นไม่ หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา 32 ดังกล่าว ย่อมต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา 119 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกันเป็นส่วนตน…”
กลายเป็นเรื่องร้อนแรง ที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ขึ้นมาทันที!
เมื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)จำนวน 28 คน นำโดย พล.อ.นพดล อินทปัญญา ตัดสินใจเดินหน้า ทวงถามความชัดเจนทางกฎหมาย เกี่ยวกับมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กำหนดให้ สนช. ต้องยื่นและเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณชน ว่า เป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่ได้ ด้วยการยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครองให้ชี้ขาด
โดยล่าสุด ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุดคดีนี้ ในวันที่ 30 กันยายนนี้
(อ่านประกอบ : “บิ๊กกี่”นำทัพสนช.28 คน ฟ้องเงียบป.ป.ช. ลงมติให้เปิดเผยทรัพย์สินโดยมิชอบ )
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.นพดล กับพวก ได้ยื่นเรื่องไปยังศาลปกครองกลาง เพื่อให้วินิจฉัยในกรณีดังกล่าวแล้ว
แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งศาลปกครองของผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนายทหารระดับสูง และคนสนิทชิดเชื้อกับ “3 นายพลบูรพาพยัคฆ์” แทบทั้งสิ้น
(อ่านประกอบ : เปิดชื่อ 28 สนช.ฟ้องศาล ปค.ปมยื่นบัญชีทรัพย์สิน บิ๊กกี่-พัชรวาท-นายทหารพรึบ!)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำคำสั่งศาลปกครองกลางฉบับเต็ม ในกรณีดังกล่าว มาเปิดเผย ดังนี้
คำสั่งไม่รับคำฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ 1430/2557 คดีหมายเลขแดงที่ 1347/2557 ศาลปกครองกลาง ผู้ฟ้องคดี พล.อ.นพดล อินทปัญญา กับพวกรวม 28 คน และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คน ฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คนเป็น สนช. มีเหตุสงสัยว่า สนช. จะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 หรือไม่ โดยเห็นว่าจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ และได้ประกาศให้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง เว้นหมวด 2 และให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มีผลบังคับใช้ต่อไป รวมถึง พ.ร.บ.ป.ป.ช.
ต่อมาได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 โดยไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้แต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมิใช่องค์กรตามรัฐธรรมนูญและไม่มีอำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีมติให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คน ซึ่งเป็น สนช. ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ ตามมาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ป.ป.ช. จึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจของผู้ถูกฟ้องคดี รวมทั้งผู้ฟ้องคดีมิได้มีฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส.-ส.ว. ที่จะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯต่อผู้ถูกฟ้องคดีแต่อย่างใด
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนมติ หรือคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ตามหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2557 รวมจำนวน 3 ข้อ และเพิกถอนมติหรือคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีตามหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2557
ศาลได้ตรวจพิจารณาคำฟ้องลงวันที่ 29 สิงหาคม 2557 รวมทั้งได้ตรวจพิจารณาบทกฎหมายและกฎที่สำคัญ
1.รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557
2.พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
3.พ.ร.บ.ป.ป.ช.
4.ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า ศาลมีอำนาจรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะเหตุเกี่ยวกับเงื่อนไขในการฟ้องคดี
พิเคราะห์มาตรา 32 พ.ร.บ.ป.ป.ช. แล้วเห็นว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งมีความหมายถึงผู้เอาภาระของบ้านเมืองเป็นภาระของตน ไม่ว่าจะโดยสมัครใจเข้าสมัครรับการเลือกตั้ง หรือสมัครใจตามที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในการตรากฎหมายอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน และการสรรหาบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถเข้ามารับใช้บ้านเมืองในตำแหน่งต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ และอื่น ๆ ที่มีหน้าที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ เปิดเผยความจริงว่า ก่อนตนเข้ารับตำแหน่งมีทรัพย์สินใดบ้าง รวมทั้งภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพื่อให้สังคมรับรู้รับทราบถึงความโปร่งใสของผู้เข้ามารับภาระของบ้านเมืองว่า มิได้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ แก่ตนเองและครอบครัว
ดังนั้น หน้าที่ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. เป็นเรื่องส่วนตนโดยแท้ของผู้อาสาเข้ามารับภาระของบ้านเมือง หาใช่หน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่จะต้องเรียกให้มีคำสั่งให้ผู้ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินฯ ตามนัยมาตรา 32 ดังกล่าวข้างต้นไม่ หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดไม่ปฏิบัติตามความในมาตรา 32 ดังกล่าว ย่อมต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา 119 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกันเป็นส่วนตน
สำหรับคดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คน มีความสงสัยในประเด็นข้อกฎหมายตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ข้างต้น จึงได้ขอให้เลขาธิการวุฒิสภามีหนังสือหารือข้อกำหมายไปยังเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาข้อหารือดังกล่าวถึง 2 ครั้ง เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้ตอบข้อหารือดังกล่าวตามประเด็นข้อกฎหมายตามหนังสือลงวันที่ 14 สิงหาคม 2557 และวันที่ 27 สิงหาคม 2557 ยืนยันว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 และ สนช. ทุกคนมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ
จึงเห็นได้ว่ามติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ตอบข้อหารือเลขาธิการวุฒิสภาดังกล่าว มิใช่คำสั่งทางปกครองตามนัยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 อันจะมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้ตอบข้อหารือกับผู้หารือในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลประทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว อันจะทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คน ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย อันจะมีสิทธินำมาฟ้องต่อศาลไม่ได้
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานะของผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คน ซึ่งเป็น สนช. จะมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯต่อผู้ถูกฟ้องคดีตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้อยู่แล้ว หาได้ขึ้นอยู่กับมติของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวข้างต้น แต่อย่างใดไม่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 28 คน จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายที่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว ตามนัยมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 28 คน
ทั้งหมดนี้คือคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางแบบเต็ม ๆ ที่ยืนยันว่า สนช. จำเป็นต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯต่อไป ส่งผลสะเทือนไปยัง “บิ๊กกี่” และพวก ทำให้ต้องอุทธรณ์คดีดังกล่าวไปยังศาลปกครองสูงสุดเพื่อวินิจฉัยในกรณีนี้ให้กระจ่างชัดอีกครั้ง
ส่วนคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดจะเป็นอย่างไร 30 กันยายนนี้ รู้ผล!
อ่านประกอบ :
ป.ป.ช.ยันมติให้ สนช.เปิดเผยทรัพย์สินชอบด้วยกม.-เพิ่งรู้ถูก“บิ๊กกี่”นำทัพฟ้อง
ทหารเกษียณเดือดร้อน!ชนวน“บิ๊กกี่” นำทัพฟ้องป.ป.ช.ปมยื่นทรัพย์สินฯ
มติป.ป.ช.ให้สนช.ยื่นบัญชีฯ-เปิดเผย เหตุทำหน้าที่เหมือนส.ส.-ส.ว.