“ศรัทธา-ความเชื่อ”กับลมหายใจ 150 ปี “ประเพณีกินเจ เมืองตรัง”
กลุ่มควันสีขาวจากธูปนับหมื่นๆ แสนๆ ก้าน ตลบอบอวลไปพร้อมกับกลิ่นหอมรัญจวน เสียงสวดมนต์ดังลอยมาพาใจสงบ ผู้คนหลายพันคนในชุดสีขาวขวักไขว่เต็มทุกศาลเจ้าและทั่วเมืองตรังช่วงนี้ กับ “เทศกาลถือศีลกินผัก” หรือ “เทศกาลถือศีลกินเจ” เทศกาลแห่งบุญคู่คนตรังมาไม่ต่ำกว่า 150 ปี....
เทศกาลกินเจเมืองตรังปี 2557 นี้ รวมทั้งสิ้น 9 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน – 2 ตุลาคม รวม 9 วัน
ตามความเชื่อของการจัดงาน โดยหลายศาลเจ้าในเมืองตรังที่ได้ยึดปฏิบัติทั้งการประกอบพิธี การเปิดโรงทาน และกิจกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเป็นประเพณีที่เริ่มโดยชาวไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนชุดแรกที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่หรือประเทศจีนเมื่อราว 150 ปีมาแล้ว
เดิมทีเรียก “ถือศีลกินผัก”
แต่เมื่อมีชาวจีนแต้จิ๋วอพยพมาเพิ่ม บ้างก็เรียก “ถือศีลกินเจ” แต่จะเรียกอย่างไรก็ล้วนมีเจตนารมย์เดียวกันในเรื่องการรักษาศีล กาย ใจ ให้บริสุทธิ์
การกินเจเกิดขึ้นครั้งแรกที่ชุมชนริม “แม่น้ำท่าจีน” หรือ “แม่น้ำตรัง” หรือบริเวณที่ตั้งของวัดประสิทธิชัย(วัดท่าจีน) ซึ่งเป็นชุมชนชาวจีนแต่เดิมของเมืองตรัง
โดยในงานกินเจครั้งแรก มีผู้ร่วมกินเจจำนวน 20 คน เป็นเรื่องเล่าที่น่าอัศจรรย์ของศรัทธาอันแรงกล้าที่ค่อยๆ บ่มเพาะเจริญเติบโตจนมีผู้เข้าร่วมกินเจจำนวนมากในวันนี้
ตามข้อมูลที่ศาลเจ้า “กิวอ๋องเอี่ย” ศาลเจ้าแห่งแรกสายฮกเกี้ยนได้บันทึกไว้ เฉพาะผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมถึงปีละไม่ต่ำกว่า 5,500 คน
ไม่นับผู้กินเจที่ไม่ลงทะเบียนอีกจำนวนมาก ทำให้เชื่อได้ว่าต่อ 1 ศาลเจ้า มีผู้ร่วมบุญกิจเจไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคนต่อปี
หากรวมทั้งจังหวัดตรัง ก็คงไม่น้อยกว่าหลักแสนคนแน่นอน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดใน “ความเชื่อ” อันแรงกล้า โดยเฉพาะเจตนารมย์ในการทำบุญ ลดละบาปและอบายมุขทั้งปวง
แม้ในยุคใหม่เทคโนโลยีทันสมัย ตัวเลขดังกล่าวก็ไม่มีทีท่าลดลง
สำหรับผู้สนใจย้อนรอยเส้นทางของแรง “ศรัทธา” เก่าแก่นี้ การสืบเสาะจากปากคำของคนรุ่นก่อน ย่อมมีคุณค่าแห่งการจดจำ
“โกป๋าว-สงวน กิตติเชษฐ์” ในวัย 70 สาธุชนคนสำคัญที่สัมผัสคลุกคลีกับ “เทศกาลถือศีลกินผัก” ของเมืองตรังมายาวนาน
เล่าว่า ประเพณีนี้มีความผูกพันกับชาวไทยเชื้อสายจีนในเมืองตรังอย่างมาก และมีมาช้านานจนเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นรากเหง้า
โดยในสมัยโบราณเมื่อครั้งชาวจีนโพ้นทะเลตัดสินใจละทิ้งย้ายถิ่นฐานจากประเทศจีนมาอยู่ประเทศไทย
เพราะ “เมืองสยาม” ถือเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด และในสมัยนั้นในยุคที่ชาวจีนอพยพมาขึ้นที่เมืองตรัง ตรงกับช่วงการพัดเข้ามาของลมตะวันออกเฉียงใต้ ลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดมาจากเมืองจีน ผ่านพม่า ทะเลจีนใต้ ผ่านไทย พัดออกทะเลทางแหลมมะละกา ซึ่งเป็นลมที่พัดมาในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจพอดี ช่วงนี้จึงมีลมเย็นๆให้เราได้รู้สึกสบายตัว
ยุคนั้นคนจีนถ้าจะเดินเรือก็ต้องอาศัยลมดังกล่าวล่องลงมา ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนใช้เรือสำเภาในการเดินทาง ทั้งเรืออพยพและเรือสินค้า เรืออพยพก็จะล่องลงมา อ้อมแหลมมะละกา เข้าทางแม่น้ำตรัง จนมาได้ทำเลสร้างถิ่นฐานริมฝั่งแม่น้ำตรังบริเวณวัดประสิทธิชัย และเริ่มก่อร่างสร้างชุมชนชาวจีนจนเป็นปึกแผ่นมั่นคง ซึ่งถือเป็น “เส้นทางสายแพรไหม” อีกเส้นทางหนึ่งของเหล่าพ่อค้าชาวจีนที่ลำเลียงสินค้าต่อไปยังอินเดียหรือเอเชียใต้
“เมื่อคนจีนในยุคนั้นตั้งถิ่นฐานที่ชุมชนแถบวัดท่าจีนได้มั่นคงแล้ว ก็มีการกลับไปเยี่ยมถิ่นเดิมของตัวเองที่แผ่นดินใหญ่ และร่วมแรงร่วมใจกันนำประเพณีอันดีงามจากแผ่นดินใหญ่มาเผยแพร่ในเมืองตรังเพื่อหวังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ มีการริเริ่มประเพณีถือศีลกินผัก การตั้งศาลเจ้า และพิธีทางความเชื่อต่างๆ เล่าต่อๆกันมาว่า ประเพณีถือศีลกินผักครั้งแรกของเมืองตรังทำกันเล็กๆโดยอาศัยบริเวณลานวัดท่าจีน โดยการกินเจคือการยกเสาธงหรือเสาเต็งโกเพื่อประกาศว่าจะกินเจแล้ว ก็กินกันกันที่ลานวัด กินเสร็จถ้วยชามก็ประมูลไว้เป็นทุนจัดครั้งต่อไปครั้งแรกกินกัน 20 กว่าคน ต่อมาชุมชนหนาแน่นขึ้น ย้ายมาในทับเที่ยง มีการตั้งศาลเจ้ากิวอ๋องเอี่ยและศาลเจ้าอื่นๆตามมา คนกินเจก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น”
ชายชราผู้รู้ลึกรู้จริง ฝากถึงคนรุ่นต่อๆไปให้ช่วยสืบสานประเพณีอันดีงามนี้ อย่างรู้จริง ศรัทธา และเข้าใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญในการสืบทอดลมหายใจของ “ประเพณีถือศีลกินผักเมืองตรัง” ให้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างทรงคุณค่า
“การกินเจนะ คนกินจะได้แน่ๆคือ ได้ เช็ง คือ ความบริสุทธิ์ ล้างจิตใจคุณเอง ใน 1 ปี คุณมีโอกาส 9 วันให้คุณได้สำนึกบาป ทำบุญ เพราะงานเจ คือ การให้ สมัยก่อนคนมากินเจเขาไม่สวมรองเท้านะ เพราะคนเรามีเงินซื้อรองเท้าแพงถูกได้ แต่ที่ให้ถอดรองเท้าเพื่อให้ทุกคนเสมอภาคกัน"
"การกินเจมันมีแต่ได้ อาหารเจ คืออาหารเซียน อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เจือปน กินเจก็จะมีสุขภาพดี ยิ่งในโลกทุกวันนี้ที่คนใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ลองกินดู 2-3 วันแรกก็จะเห็นผลเลย ระบบย่อยอาหารจะดีขึ้น ขับถ่ายดีขึ้น แต่ขอให้เลือกผักที่ดีไม่มีสารเคมี ในด้านจิตใจก็ช่วยได้ให้เราลดละ บางคนซื้อหวยยังงดเลย"
"ผมคิดว่ามีวันดีๆแบบนี้ในตารางชีวิตบ้างก็ดี คนโบราณเขากินเจ เวลายกเสาเต็งโก ที่โคนเสาจะผูกบ่วงบาศก์ไว้ทีละบ่วงจนถึง 9 บ่วง คนสมัยก่อนเข้าศาลเจ้าจะเหลือบมองบ่วงก็จะรู้ว่ากี่แรมกี่ค่ำหรือนับวัน มันเหมือนปฏิทิน คนโบราณมากินเจ ไหว้เจ้าเสร็จก็กลับ ไม่อยู่ชมมหรสพอะไรเลย เพราะเขาถือศีลจริงๆ”


“เรื่องอาหารเจก็เหมือนกัน ต้องลดละที่ใจ ดังนั้นในสมัยโบราณเจก็คือเจ จะไม่มีเจที่ทำเลียนแบบของคาว แต่สมัยนี้ทำกันสารพัดแถมราคาก็แพง กินเจที่จริงนอกจากได้เรื่องสุขภาพแล้ว ยังช่วยปะหยัดได้มาก เพราะกินผักราคาไม่แพง โดยทั่วไปแต่ละศาลเจ้าจะให้ลงทะเบียนผู้ปิ่นโตครอบครัวละ 400 บาท แต่คุณได้อาหารผูกปิ่นโตไปกินทั้งครอบครัวถึง 27 มื้อ และแม้จะไม่ได้ลงทะเบียน ไม่ได้จ่ายเงินก็กินฟรีได้เพราะศาลเจ้าจะมีโรงทาน เพราะการกิจเจคือการให้ การแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่”
“โกป๋าว” เปรียบเทียบให้ฟังว่า “เทศกาลถือศีลกินผัก” ของตรังมีความอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง
คือรวมผู้คนทุกเพศทุกวัยให้มาร่วมกันได้ ไม่เหมือนงานศาสนกิจอื่นที่มักมีแต่คนแก่ แต่กินเจกลับมีคนหนุ่มสาวมาร่วมจำนวนมาก
แต่ทว่าสิ่งที่เป็นห่วงคือ เราจะชักนำ เผยแพร่ ปลูกผัง ให้กับคนรุ่นใหม่เหล่านั้นอย่างไร
เขาอยากฝากว่า ในช่วงกินเจนั้นถือเป็นโอกาสในการแนะนำเผยแพร่ในสิ่งดีงามแก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี


“ผมเคยไปฟังด็อกเตอร์ชาวจีนคนหนึ่งที่เคยมาบรรยายที่ตรัง น่าสนใจ เขาว่าเดี๋ยวนี้จีนให้ความสนใจในลัทธิทรงเจ้าเข้าผี เพราะคนทรงเจ้าเข้าผีนั้นกลัวบาป และคนที่กลัวบาปจะแบ่งเบาภาระบ้านเมืองได้เยอะ คนกลัวบาปจะไม่คดโกงไม่สร้างปัญหา ฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆแต่มันมีคุณค่า เพียงแต่เราจะทำอย่างไรให้ความเชื่อเหล่านี้ให้มีขอบเขต ไม่งมงายเกินไป"
"ผมก็ได้แต่คาดหวังว่า จะมีผู้รู้ทั้งหลายหันมาสนใจเรื่องกินเจบ้าง เพราะกินเจเป็นศูนย์รวมคนหมู่มาก คนเดียวกินเจนั้นเรื่องเล็ก แต่คนหลายพันหลายหมื่นกินเจนั้นย่อมไม่ธรรมดา ผมอยากให้วัฒนธรรมจังหวัดตรังเข้ามาให้ความสนใจ บันทึกเรื่องราว ทุกวันนี้ก็ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนของตรังที่ช่วยกันสืบสาน ทั้งหอการค้าจังหวัด เทศบาล แต่ของพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องอาศัยความเข้าใจถึงแก่นแท้”

นี่คือประสบการณ์และปากคำส่วนหนึ่งจากคนรุ่นเก่า ที่บอกเล่าความเป็นมา แก่นแท้และรากฐานที่ถูกต้องของ “ประเพณีถือศีลกินผัก” อันน่าภาคภูมิของ “คนตรัง” ...
เพราะ “สีขาว” ที่สวมใส่นั้น จะยังกุศลมหาศาลเหลือคณานับ หาก “สีขาว” ได้ซึมลึกเข้าไปถึงในจิตใจของผู้คนด้วย...
เรื่อง : จำนง ศรีนคร , ภาพ ทีมประชาสัมพันธ์ศาลเจ้ากิวอ๋องเอี่ย จังหวัดตรัง
