ครม.ประยุทธ์ 1 สายมั่นคงปึ้ก เตรียมรับการเมืองร้อน-ไฟใต้
ไล่ดูรายชื่อใน "ครม.ประยุทธ์ 1" ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพบว่ามีทหาร อดีตทหาร และตำรวจมากถึง 12 คนจาก 32 คน ซึ่งหากคิดในแง่ที่ว่าเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหารก็คงไม่น่าแปลกใจ
แต่ถ้าคิดในแง่ของการเป็นรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศระหว่างการปฏิรูปครั้งใหญ่ ก็ถือว่าน่าตกใจ และคงต้องรอลุ้นว่ารัฐบาลจะทำได้ดีแค่ไหน
ลบประวัติศาสตร์ "เสียของ" จากการรัฐประหารเมื่อปี 49 ได้หรือไม่
หากพิจารณาการวางตัวรัฐมนตรีในกลุ่ม "คนในเครื่องแบบ" จะพบความจริงว่าสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม 3 เป้าหมาย
กลุ่มที่ 1 คือ ตอบแทนบุญคุณ ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สองคนนี้เป็นอดีตผู้บังคับบัญชาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความเคารพศรัทธาและเชื่อมั่นในความรู้ความสามารถเป็นอย่างสูง
ขณะที่สื่อต่างประเทศเคยเสนอบทวิเคราะห์ช่วงที่มีวิกฤตการณ์ชุมนุมทางการเมืองต้นปี 2557 ว่า ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งเคยเป็นอดีต ผบ.ทบ.ทั้งคู่ และยังเป็นพี่น้องสายบูรพาพยัคฆ์อันเหนียวแน่น (เติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นน้องเล็ก และมีบทบาทนำในการหาทางออกทางการเมือง โดยเฉพาะในสูตรที่เกิดขึ้นเมื่อ 22 พ.ค.57
กลุ่มที่ 2 คือ ปูนบำเหน็จและมอบหมายงานสำคัญให้คนใกล้ชิด ประกอบด้วย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งรู้ใจรู้มือกันมานาน โดยเฉพาะ พล.อ.ฉัตรชัย หรือ "บิ๊กนมชง" เคยเป็นผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในห้วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. ขณะที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ หรือ "บิ๊กหนุ่ย" เป็นสายบุ๋นที่เชี่ยวชาญงานด้านการวางยุทธการมากเป็นพิเศษ และมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ หลายเรื่อง แม้ตัวเองจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว
นอกจากนั้นยังมี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 อีกคนหนึ่ง ที่ได้นั่งเก้าอี้ใหญ่ รองนายกฯควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เช่นเดียวกับ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม นายทหาร ตท.12 ที่ได้ทำงานต่อหลังเกษียณในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพราะเคยได้รับมอบงานด้านนี้ในช่วงมีวิกฤติแรงงานกัมพูชาอพยพกลับประเทศ และปัญหาแรงงานต่างด้าว
ที่เหลือก็เป็นกลุ่มผู้บัญชาการเหล่าทัพ (ผบ.เหล่าทัพ) ซึ่งเป็นคณะผู้บริหาร คสช. ได้แก่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การที่ทั้ง 3 คนได้นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ใน ครม. สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ คำมั่นสัญญา และการให้เกียรติของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่ ผบ.เหล่าทัพ ร่วมหัวจมท้ายยึดอำนาจการปกครองด้วยกันมา
กลุ่มที่ 3 คือ เป็นมือไม้ทำงาน ประกอบด้วย พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รองเสนาธิการทหารบก (รองเสธ.ทบ.) ที่ชื่อหลุดโผ 5 เสือ ทบ. ถูกส่งไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพราะเก่งการประสานงาน และเชี่ยวชาญงานด้านสังคมจิตวิทยา โดยเขาเป็นรองหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยาของ คสช. ช่วยงาน พล.ร.อ.ณรงค์ มาตั้งแต่หลัง คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองด้วย
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ซึ่งพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ.แน่นอนแล้ว และยังอาจต้อง "ข้ามห้วย" ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหมในการปรับย้ายครั้งนี้ด้วย ได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อผลักดันกฎหมายตอบสนองงานของ คสช. เพราะทำงานเข้าขากับ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ว่าที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นอย่างดี
สุดท้ายคือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผบ.ทบ. ที่กำลังลุ้นเก้าอี้ ผบ.ทบ.คนใหม่ เป็นชื่อเซอร์ไพรสต์ติดโผ ครม.ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม สะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจ "บิ๊กโด่ง" พล.อ.อุดมเดช มากขนาดไหน
จากเพื่อนพ้องน้องพี่นายทหารที่เข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยเปรยไว้ล่วงหน้าในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าสายงานที่ "ปึ้ก" ที่สุดย่อมหนีไม่พ้นงานด้านความมั่นคง เพราะมีหัวแถวอย่าง พล.อ.ประวิตร ซึ่งคาดว่าจะคุมงานด้านความมั่นคงของรัฐบาล เพราะนั่งควบรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยตัวเอง โดยมีมือไม้สำคัญคือ พล.อ.อุดมเดช ในฐานะว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่ เสริมแกร่งด้วย พล.อ.ไพบูลย์ ในด้านตัวบทกฎหมาย
และที่ไม่อาจมองข้ามได้ ก็คือ การปรากฏชื่อของ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แม้ข่าวว่าเป็นการทาบทามแบบปัจจุบันทันด่วน นัยว่าเพื่อขอบคุณ สขช.ที่ร่วมทำงานด้านการข่าวกับกองทัพอย่างใกล้ชิดมาตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่างานนี้ "บิ๊กตู่" มองการณ์ไกล เพื่อเตรียมรับมือกับความเคลื่อนไหวของ "คลื่นใต้น้ำ" ที่กำลังก่อตัวท้าทายอำนาจ คสช.และรัฐบาลใหม่ในอนาคตด้วย
เพราะต้องไม่ลืมว่า สขช.ยุค นายสุวพันธุ์ ซึ่งถูกเมินจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเนื่องจากเชื่อน้ำยาตำรวจมากกว่านั้น สร้างผลงานโดดเด่นในการจับมือกับหน่วยข่าวทหาร ทั้งการทลายเครือข่ายอาวุธสงคราม ชายชุดดำ แก๊งเอ็ม 79 หรือแม้แต่ "ขอนแก่นโมเดล" พร้อมออกหมายจับดำเนินคดีกับกลุ่มใช้ความรุนแรง รวมถึงขบวนการล้มเจ้า จนทำให้การเมืองสงบราบคาบอย่างรวดเร็วภายหลัง คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองเพียงไม่กี่วัน
ฉะนั้นความรู้ความสามารถของ นายสุวพันธุ์ และทีมงาน สขช.จะถูกใช้ในภารกิจด้านความมั่นคงภายใต้การบริหารงานของ ครม.ประยุทธ์ 1 ต่อไป โดยเฉพาะการดับกระแสคลื่นใต้น้ำของกลุ่มผู้เสียอำนาจ เพื่อให้กระบวนการปฏิรูปประเทศเดินหน้าไปได้ตลอดรอดฝั่ง
นอกจากนั้นยังทำให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมิติทางความมั่นคงมากขึ้นด้วย เพราะทีมงานใน ครม.ล้วนทำงานเข้าขาในระดับ "มองตารู้ใจ"
ขณะที่เดิมมีข่าวว่า นายสุวพันธุ์ ได้รับการวางตัวให้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ทว่าภายหลังถูกเปลี่ยนตัวเป็น พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ที่ปรึกษา ผบ.ทบ.และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องไม่ลืมว่าการเมืองไทยไม่เข้าใครออกใคร สถานการณ์พลิกผันได้ทุกนาที ทั้งหมดจึงต้องรอพิสูจน์ด้วยฝีมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลทุกคน!
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีชื่อนั่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแบบเซอร์ไพรส์ แต่ก็มีผลทำให้งานด้านความมั่นคงของ ครม.ชุดใหม่แน่นขึ้น
ขอบคุณ : ภาพจากเว็บไซต์กรมข่าวทหารเรือ http://www.n2.navy.mi.th/index.php/main/detail/content_id/3033