มธบ.เปิดผลวิจัยพบนักธุรกิจชาติเอเชียให้ความสำคัญภาษาจีน ยันมีผลต่อการทำธุรกิจด้วย
ศูนย์วิจัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดผลวิจัยความคิดเห็นนักธุรกิจ 5 ชาติในเอเชีย ยันปัญหาหลักนักธุรกิจไทย คือ ขาดการมองการณ์ไกล ไม่เก่งภาษา ไม่กล้าคิดการใหญ่ และพบภาษาจีนนำโด่ง สื่อสาร-เข้าใจวัฒนธรรมจีน มีผลต่อการตัดสินใจทำธุรกิจด้วย
วันที่ 21 สิงหาคม ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดผลการวิจัยความคิดเห็นของนักธุรกิจ 5 ชาติในเอเชียที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 1 ปี ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และมาเลเซีย จำนวน 660 คน เกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และนักธุรกิจไทย ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 8 ถึง 18 สิงหาคม 2557
จากการให้ประเมินการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2557 และ 2558 พบว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ในปี 2557 จะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 2.71% และในปี 2558 อัตราการขยายตัวจะประมาณ 3.58%
เมื่อสอบถามถึงอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพที่สุดของไทยในช่วง 5 ปี ข้างหน้า 31.5% ระบุว่า เกษตรและอาหาร 21.2% ท่องเที่ยว 20.1% ยานยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 16.7% สุขภาพและบริการด้านสุขภาพ 8.3% หัตถกรรมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และอีก 2.2% เป็นอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น บันเทิง การจัดประชุมสัมมนา เป็นต้น
เมื่อสอบถามถึงข้อดีของนักธุรกิจไทยพบว่า 29.1% ระบุว่า มีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง 20.5% มีความคิดสร้างสรรค์ 18.4% เข้ากับคนอื่นได้ดี 15.3% มีความสุภาพ 12.2% ไม่เห็นแก่เงินเพียงอย่างเดียว และอีก 4.5% เป็นเรื่องอื่นๆ
สำหรับข้อที่ควรปรับปรุง พบว่า 23.7% ขาดการมองการณ์ไกล 20.2% ทักษะด้านภาษา 13.4% ไม่กล้าคิดการใหญ่ 12.4% ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง 11.8% ไม่กล้าลองผิดลองถูก 10.5% ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น/ไม่กล้าเจรจาต่อรอง 5.2% ไม่ตรงต่อเวลา และอีก 2.8% เป็นเรื่องอื่นๆ
เมื่อให้ประเมินถึงระดับความสำคัญของภาษาที่ใช้ในการทำธุรกิจในเอเชีย โดยให้คะแนนตั้งแต่ 1 (สำคัญน้อยที่สุด) จนถึง 10 (สำคัญมากที่สุด) พบว่า ภาษาจีนได้คะแนนมากที่สุด 9.45 คะแนน อันดับสอง ภาษาอังกฤษ 9.43 คะแนน อันดับสาม ภาษาญี่ปุ่น 8.24 คะแนน อันดับสี่ ภาษาอินโดนีเซีย-มลายู 8.11 คะแนน อันดับห้า ภาษาเกาหลี 7.33 คะแนน
เมี่อสอบถามเฉพาะนักธุรกิจชาวจีนว่า ความสามารถในการสื่อสารและความเข้าใจวัฒนธรรมจีนมีผลต่อการตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจด้วยหรือไม่ ได้ผลดังนี้
การสื่อสารด้วยภาษาจีน 80.9% ระบุว่า มีผลเป็นอย่างมากต่อการตัดสินใจว่าจะทำธุรกิจด้วยหรือไม่ 17.1% มีผลบ้าง และอีก 2.0% ไม่มีผลเลย
ความรู้ความเข้าใจวัฒนธรรมจีน 85.8% ระบุว่า มีผลเป็นอย่างมาก 10.2% มีผลบ้าง และอีก 4.0% ไม่มีผลเลย
ขณะที่ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงผลการศึกษาที่ได้ว่า ในปัจจุบัน ภาษาจีนกลายเป็นภาษาที่มีความสำคัญไม่แพ้ภาษาอังกฤษ แม้ว่าตอนนี้มูลค่าการค้า การลงทุนจากประเทศจีนมายังประเทศไทยยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หรือยุโรป แต่หากมองมูลค่าการส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จัดได้ว่า จีนเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดตลาดหนึ่งของไทย
นอกจากนี้แล้ว หากนำจำนวนคนจีนในประเทศจีนที่มีประมาณ 1,350 ล้านคน มารวมกับจำนวนคนจีนในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอีกไม่น้อยกว่า 200 ล้านคน ก็จะเห็นได้ว่า การรู้ภาษาจีนเป็นการเปิดโอกาสให้กับธุรกิจไทยและคนไทยในเวทีการค้าโลกมากขึ้นในอนาคต