ภาคปชช.หวั่น ปตท.แยกธุรกิจท่อก๊าซตั้งบ.ใหม่ โอนสมบัติชาติให้เอกชนเป็นเจ้าของ
เครือข่ายภาคประชาชนนำโดยวีระสม ความคิด แถลง 3 คำถามเกี่ยวกับพลังงานไทยที่ประชาชนควรรู้ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับพลังงานไทย ปตท. หลังยังไม่ส่งคืนท่อก๊าซทั้งหมดให้รัฐฯ
วันที่ 19 สิงหาคม 2557 เครือข่ายภาคประชาชน จัดงานแถลงข่าวเรื่อง “3 คำถามสำคัญเรื่องพลังงานไทยที่ประชาชนควรรู้” ณ ห้องโถง สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน (สนค.) กรุงเทพฯ
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น ได้อ่านคำแถลงข่าวเรื่อง “3 คำถามสำคัญเรื่องพลังงานไทยที่ประชาชนควรรู้” ดังนี้
ตามที่เครือข่ายภาคประชาชนนำโดยนางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น ได้เข้ายื่นหนังสือถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 เพื่อขอตรวจสอบและดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินอำนาจและสิทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยออกจาก บริษัท
ปตท.จำกัด(มหาชน) ให้เป็นของกระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดและให้ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) กลับมีมติให้ ปตท. ดำเนินการแยกธุรกิจท่อก๊าซออกมาตั้งบริษัทใหม่ โดยที่รัฐมิได้ถือหุ้นทั้งหมด 100 % และคาดว่าจะดำเนินให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 2558 นั้น
เครือข่ายประชาชนใคร่ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนให้ทราบว่า คำพิพาษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2550 ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ. 47/2549 คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 ได้มีคำวินิจฉัยไว้หน้า 83-84 อันแสดงถึงกระบวนการแปรรูป ปตท. ในครั้งนั้นว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมาย จนนำมาสู่คำพิพากษาให้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน สิทธิในการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 (บมจ.ปตท.) ไว้ดังนี้
“...การที่พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน.)พ.ศ. 2544 มีเนื้อหาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายบางส่วน รวมทั้งมีการโอนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและสิทธิทั้งหลายที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐไปให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่4(บมจ.ปตท.) อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งต้องเพิกถอนเพื่อนให้มีการแก้ไขการกระทำและบทบัญญัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง และเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประโยชน์แห่งรัฐในด้านกิจการพลังงาน และประโยชน์ในการบริหารจัดการของผู้ฟ้องคดีที่4 (บมจ.ปตท.)ให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นของผู้ถูกฟ้องคดีที่4 (บมจ.ปตท.)และเอกชนที่ประกอบกิจการปิโตรเลียม”
การที่ กพช. ได้มีมติให้ปตท. ดำเนินการแยกธุรกิจท่อก๊าซธรรมชาติออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยที่มีการโอนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและสิทธิทั้งหลายที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐยังไม่ครบถ้วน คือ โอนให้ระบบท่อส่งก๊าซทางบกบางส่วน และระบบท่อส่งก๊าซในทะเลทั้งหมดไม่ได้โอนคืนกลับมาเป็นของรัฐ อีกทั้งการตั้งบริษัทท่อส่งก๊าซธรรมชาติ คาดว่ารัฐจะมิได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งหมด 100 % อันเป็นมติลักษณะเดียวกับที่คณะกรรมการ ปตท. ได้ให้ความเห็นชอบมาก่อนแล้ว
ดังนั้นก่อนที่มติ กพซ. ดังกล่าวจะถูกนำเสนอต่อที่ประชุมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อพิจารณาต่อไป เครือข่ายประชาชนมีข้อสังเกตต่อ ปตท. และกระทรวงพลังงานว่า อาจมีการให้ข้อมูลทางด้านกฎหมายในประเด็นนี้ต่อที่ประชุม กพซ.ไม่ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหากมีการดำเนินการต่อไปอาจทำให้ คสช.ได้รับความเสียหายได้
เครือข่ายประชาชนจึงตั้งคำถามสำคัญที่ต้องขอความอนุเคราะห์ให้ คสช. พิจารณาและตรวจสอบให้รอบคอบก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ต่อไปดังนี้
1.จากคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดการโอนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
2.การตั้งบริษัทท่อส่งก๊าซธรรมชาติขึ้นใหม่ เป็นการโอนสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้เอกชนเป็นเจ้าของหรือไม่
3.นโยบายการบริหารกิจการพลังงานของไทยที่จำดำเนินต่อไป จะเป็นการปฎิรูปหรือเป็นการแปรรูป ปตท.ครั้งที่2?
ทั้งนี้ บรรยากาศการแถลงข่าว มีทหารจำนวนหนึ่งที่เข้าร่วมรับฟังด้วย และหลังจากจบการแถลงข่าวทหารได้ส่งนำตัวนายวีระ สมความคิด ขึ้นรถส่วนตัวเพื่อเดินทางกลับ เพื่อเป็นการรักษาความเรียบร้อยบริเวณงานแถลงข่าว