“ระบบการศึกษาและครอบครัวไทย” ตัดโอกาส “เด็กจน” ต่อมหา’ลัย
แม้ว่านโยบายเรียนฟรี และเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเรียนต่อในระดับ มัธยมปลาย แต่หลักฐานที่ผ่านมากลับชี้ชัดว่ามีเด็กยากจนจำนวนน้อยมากที่สามารถก้าวผ่าน เข้าไปเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ ดังนั้นการอุดหนุนค่าเล่าเรียน และการอุดหนุนอื่นๆจึงให้ประโยชน์กับเด็กจากครอบครัวที่มีฐานะดีมากกว่าเด็กยากจนอย่างปฏิเสธไม่ได้
ช่วง 23 ปีที่ผ่านมา อัตราการเข้าเรียนต่อระดับมัธยมปลายของเยาวชนไทยอายุระหว่าง 16-19 ปี มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก โดยเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนที่สุด(พ่อแม่มีรายได้อยู่ในกลุ่ม 25% ต่ำสุดของครัวเรือนไทยหรือกลุ่มจนสุด) ในปี 2529 มีเพียงร้อยละ 7 ที่ได้เรียนต่อ และปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 ขณะเดียวกันเด็กที่มาจากครอบครัวฐานะดี(พ่อแม่มีรายได้อยู่ในกลุ่ม 25% สูงสุดของครัวเรือนไทย หรือกลุ่มรวยที่สุด) ก็มีสัดส่วนการเข้าเรียนต่อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 45 เป็น 79 (รูปที่ 1) ช่องว่างในการเรียนต่อระดับมัธยมปลายของเด็กจึงลดลงจากร้อยละ 38 เหลือ 29 แสดงถึงความเหลื่อมล้ำที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากอัตราการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา กลับพบว่าความเหลื่อมล้ำนั้นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 19-25 ปี พบช่องว่างการเรียนต่อระหว่างเด็กที่มาจากกลุ่มครอบครัวที่รวยที่สุด กับกลุ่มที่จนที่สุดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20 ในปี 2529 เป็นร้อยละ 38 ในปี 2552 หรือเกือบจะเท่าตัว และส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังจากปี 2539 (รูปที่ 2)
หากดูจากหลักฐานที่มีอยู่ชัดเจนว่าเด็กที่เรียนต่อระดับอุดมศึกษา ส่วนใหญ่แล้วมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี เราอาจสรุปได้ว่าการขาดแคลนทุนทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัญเบื้องหลังความเหลื่อมล้ำนี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การแก้ปัญหาโดยภาครัฐที่ผ่านมาจึงเน้นแก้ปัญหาความขาดแคลนทุนทรัพย์ของครัวเรือน ซึ่งเรียกว่าเป็นปัญหาปัจจัยระยะสั้น เช่น นโยบายเรียนฟรีระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดหนุนค่าเล่าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ และการขยายการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาสำหรับนักเรียนมัธยมปลายขึ้นไป
แม้ว่านโยบายเรียนฟรี และเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย แต่หลักฐานที่ผ่านมากลับชี้ชัดว่ามีเด็กยากจนจำนวนน้อยมากที่สามารถก้าวผ่านเข้าไปเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ ดังนั้นการอุดหนุนค่าเล่าเรียน และการอุดหนุนอื่นๆจึงให้ประโยชน์กับเด็กจากครอบครัวที่มีฐานะดีมากกว่าเด็กยากจนอย่างปฏิเสธไม่ได้
จากการศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าเรียนต่ออุดมศึกษา พบว่าปัญหาการขาดแคลนปัจจัยระยะยาวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการขาดแคลนปัจจัยระยะสั้น โดยหมายถึงทุกปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู/การเติบโตของเด็ก ความสำคัญที่พ่อแม่ให้กับการศึกษา ครอบครัวที่อบอุ่น คุณภาพการศึกษาที่ได้รับตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนจนถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ล้วนสำคัญอย่างมากในการพัฒนาขีดความสามารถทางวิชาการของเด็ก และเป็นสิ่งที่กำหนดความพร้อมในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษา
จากการประเมินแบบจำลองทางเศรษฐมิติเบื้องต้นพบว่า หลังจากทำการปรับปัจจัยระยะยาวในกลุ่มตัวอย่างให้เสมอภาคกันแล้ว มีเด็กที่จบมัธยมปลายแต่ไม่สามารถเรียนต่ออุดมศึกษาเนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ไม่เกินร้อยละ 7.5 ของผู้จบมัธยมปลายทั้งหมด ซึ่งในแต่ละปีจะมีประมาณ 6 แสนคน ขณะที่นโยบายช่วยเหลือด้านปัจจัยระยะสั้นจะช่วยให้เด็กตัดสินใจเรียนต่อเพิ่มขึ้นอย่างมากไม่เกิน 4.5 หมื่นคนต่อปี
การจะลดความเหลื่อมล้ำของการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาในอนาคตอย่างยั่งยืนนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยระยะยาว ซึ่งภาครัฐสามารถทำได้ อาทิ สร้างศูนย์ดูแลเด็กเล็กในชุมชนยากจน และที่สำคัญที่สุดจะต้องแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางคุณภาพระหว่างโรงเรียนที่มีทรัพยากรน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ให้บริการแก่เด็กยากจน กับโรงเรียนที่มีทรัพยากรมาก ซึ่งส่วนใหญ่ให้บริการแก่เด็กจากครอบครัวฐานะดี
จากข้อมูลการทดสอบนักเรียนอายุระหว่าง 15-16 ปี โดย Programme for International Student Assessment (PISA) ซึ่งประเมินความสามารถทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และทักษะการอ่านของเด็ก 65 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย พบว่าทรัพยากรของโรงเรียน ฐานะของครอบครัว การศึกษาและหน้าที่การงานของพ่อแม่ (ปัจจัยระยะยาว) มีความสำคัญอย่างมากต่อความสามารถของเด็ก
การศึกษายังพบด้วยว่า ปัจจัยครอบครัวแตกแยกมีส่วนสำคัญต่อการลดโอกาสในการเข้าสู่อุดมศึกษาของเด็กจากครอบครัวยากจนลงไปอีก โดยพบว่าการที่เด็กไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ หรือครอบครัวไม่อบอุ่น มีผลทำให้โอกาสเข้าสู่อุดมศึกษาของเด็กลดลงร้อยละ 9 ซึ่งมีนัยยะสำคัญทางสถิติ เด็กที่อยู่ในครอบครัวแตกแยกประมาณร้อยละ 39 มาจากครอบครัวในกลุ่มยากจนที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 18 มาจากกลุ่มครอบครัวรวยที่สุด เหตุผลหลักคือหย่าร้าง และการที่พ่อและ/หรือแม่ ต้องออกไปทำงานจังหวัดอื่น
ปัญหาคุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทยไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่ระดับมัธยมเท่านั้น แต่ขยับมาสู่อุดมศึกษาด้วย จากข้อมูลผลทดสอบ PISA สี่ครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าความสามารถของเด็กไทยโดยรวมอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ และไม่ได้มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเลยในทุกวิชา
แต่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนได้มีเปิดหลักสูตรใหม่ๆเพื่อขยายที่นั่งในสถาบันอุดมศึกษาเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการปริญญาบัตรของนักเรียน โดยขาดการคัดกรองด้านคุณภาพอย่างเพียงพอ ผลลัพธ์ก็คือการผลิตบัณฑิตคุณภาพต่ำ และ/หรือในสาขาที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดออกมาจำนวนมาก ปรากฏการณ์นี้สะท้อนออกมาในค่าจ้างแรงงานปริญญาตรีที่ตกต่ำมาตลอดตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน ความแตกต่างของค่าจ้างในกลุ่มผู้จบปริญญาตรี ซึ่งสะท้อนความแตกต่างของคุณภาพบัณฑิต ก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยความแตกต่างของค่าจ้างต่อชั่วโมงในกลุ่ม 10% บนสุด (รายได้สูง) กับกลุ่ม 10% ต่ำสุด(รายได้ต่ำ) มีช่วงห่างเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 229 ในปี 2529 เป็นร้อยละ 471 ในปี 2552
ปัจจุบันประเทศไทยก้าวมาถึงจุดที่มีความสำเร็จในการขยายจำนวนปีการศึกษา แต่ที่ผ่านมามีหลักฐานชัดเจนว่าจำนวนปีการศึกษาที่เพิ่มขึ้นไม่สำคัญเท่าคุณภาพการศึกษาที่คนจนได้รับ ซึ่งเทียบกันไม่ได้กับเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีความได้เปรียบทางสังคม(ร่ำรวย)
เราควรจะทุ่มทรัพยากรลงไปพัฒนาคุณภาพเด็กตั้งแต่ก่อนวัยเรียน และการศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้นมาจึงจะแก้ไขความเหลื่อมล้ำได้อย่างยั่งยืน หากจะมาทำในระดับอุดมศึกษาคงช้าเกินไปและน่าจะได้ผลน้อย อย่างไรก็ตามการเปิดโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของเด็กเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรลดคุณภาพการศึกษาเพื่อช้อนเด็กคุณภาพต่ำเข้ามาเรียน ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อคุณภาพแรงงานของไทยในอนาคต.
...............................................
รูปที่ 1: สัดส่วนการเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมปลายของเยาวชนอายุ 16-19 ปี
แบ่งตามกลุ่มรายได้ครัวเรือน (พ.ศ. 2529-2552)
รูปที่ 2: สัดส่วนการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของเยาวชนอายุ 19-25 ปี
แบ่งตามกลุ่มรายได้ครัวเรือน (พ.ศ. 2529-2552)