‘ชิมิ’…ของขวัญชิ้นใหญ่ ‘ต้อนรับวันแม่’
‘ชิมิ’…ของขวัญชิ้นใหญ่ ‘ต้อนรับวันแม่’ จากใจ ‘คนแม่ฮ่องสอน’ สู่หัวอก ‘คนเป็นแม่เด็กพิเศษ’
3 ขวบปีกับการเดินทางไกลครั้งสำคัญของ “คนแม่ฮ่องสอน” ทั้งจังหวัดที่ลุกขึ้นมาช่วยเหลือเด็กพิการขาดโอกาสในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ขอเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวความน่ารักระหว่างคู่(แม่)ครู-แม่ลูกเด็กดอย เมื่อทั้งลูกศิษย์ และลูกสุดที่รักมีโอกาสทางการศึกษาเหมือนเด็กคนทั่วไป แม้จะเป็นเด็กพิการขาดโอกาสในพื้นที่ห่างไกลก็ตาม
‘น้องชิมิ’ หนึ่งผลผลิตสำคัญของคนแม่ฮ่องสอน ที่สะท้อนให้เห็นความสำค้ญของ “โอกาส” ที่ทุกภาคส่วนหยิบยื่นให้ ทำให้ชีวิตน้อย ๆ สามารถผลิบานได้มากเพียงใด
แม้จะเริ่มความห่างไกลในการเข้ารับบริการพื้นฐาน จึงต้องปรับให้บ้านให้เป็นห้องเรียน และเปลี่ยนพ่อแม่ให้เป็นครู ควบคู่กับการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในจังหวัด นำมาสู่ “การเปิดศูนย์การเรียนรู้เพื่อเด็กพิการและขาดโอกาส” ตั้งแต่ศูนย์ที่อำเภอแม่สะเรียง อำเภอปาย และล่าสุดที่อำเภอปางมะผ้า ภายใต้ชุดโครงการวิจัยเพื่อระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยมีพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นพื้นที่นำร่องทดลองระบบดังกล่าวเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนร่วมกันโดยจังหวัดแม่ฮ่องสอน สสค.และมหาวิทยาลัยนเรศวร ด้วยการออกแบบระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลจังหวัดและอำเภอ ไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศูนย์การศึกษาพิเศษ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งถือเป็นหลักประกันโอกาสทางการศึกษาและนำไปสู่การขยายผลจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
(ครูต้อยช่วยพ่อเเม่เตรียมความพร้อม)
จงจิต ไชยวงค์ หรือครูต้อย ครูประจำศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลและให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กพิการเล่าถึงชิมิว่า เมื่อเปิดศูนย์ฯที่ปาย จึงมีโอกาสเจอน้องชิมิ ซึ่งมีอาการบกพร่องทางการได้ยิน ทำให้น้องมีอาการซึมเศร้า นั่งเล่นคนเดียว ร่างกายซูบผอม เพราะไม่สามารถสื่อสารกับเพื่อน หรือกับคนในครอบครัวได้
ตนเองจึงต้องคอยนำอุปกรณ์และการสอนเสริมเบื้องต้นไม่ว่าจะเป็นการระบายสี ภาพโปสเตอร์ พยัญชนะให้พ่อแม่ชิมิได้เป็นผู้สอนในช่วงแรก แต่เมื่อเกิดศูนย์ที่อำเภอปาย ชิมิก็มีโอกาสเข้ารับบริการทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดก็ได้ส่งต่อน้องชิมิเข้าโรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาให้แก่เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินโดยเฉพาะ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา
และในช่วงวันหยุดยาวเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ครูต้อยได้พา “แม่แอ่น” คุณแม่ของน้องชิมิเดินทางไปรับน้องชิมิที่โรงเรียนโสตฯ จังหวัดเชียงใหม่
ภาพประทับใจแรกที่ครูต้อยเล่าให้ฟังก็คือ ภาพโอบกอดอย่างอบอุ่นของแม่และลูกที่ต้องอยู่ห่างกันกว่า 2 เดือน แต่สิ่งที่เห็นได้มากกว่าคือ พัฒนาการของน้องชิมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
แม่แอ่นเล่าถึงชิมิให้ฟังว่า “ตอนที่ยังไม่มีการจัดตั้งห้องศูนย์การเรียนรู้ฯ ก่อนออกไปรับจ้างพ่อและแม่จะต้องพาน้องชิมิไปฝากไว้ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใกล้บ้านซึ่งมีจำนวนเด็กค่อนข้างมาก และส่วนใหญ่เป็นเด็กปกติ มีเพียงน้องชิมิที่พูดไม่ได้ เดินก็ไม่แข็งแรง ความรู้สึกแม่ตอนนั้นเหมือนอยู่ไปแบบเรื่อย ๆ ตามยถากรรม ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจมากที่มีที่เรียนให้ลูกได้เรียน”
มิหนำซ้ำ ผลของการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดสิ่งที่ “เกินความคาดหวัง”
“ชิมิกลับมาบ้านครั้งนี้ น้องใช้ภาษามือเบื้องต้นได้ สอนแม่และพี่สาวใช้ภาษามือ ทำความสะอาดบ้าน แถมบอกพี่สาวว่ากินข้าวแล้วต้องล้างจาน อาบน้ำอย่างไรให้สะอาด” แม่แอนเล่าด้วยรอยยิ้ม และย้ำเสริมว่า
สิ่งที่เห็นนั้นเกิดมาจากการได้รับโอกาสทั้งสิ้น ในฐานะของคนเป็นแม่ทุกคน ก็อยากให้ลูกได้เรียน มีวิชาติดตัว ดูแลตัวเองได้ เพราะต่อไปหากไม่มีแม่ดูแล น้องชิมิจะได้ดูแลตัวเองได้ จึงอยากขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาส และขอเป็นกำลังใจให้กับแม่ที่มีหัวอกเดียวกัน และอยากให้ลูกของแม่ทุกคนได้รับโอกาสดีๆแบบนี้ด้วย”
(ชิมิพบกับเเม่เเอ่น)
ส่วน “ครูต้อย” ผู้ที่รับหน้าที่เป็นแม่ใน 2 บทบาท ทั้งในฐานะแม่ของลูก และแม่ (ครู) ของศิษย์กล่าวว่า “ทุกภาคส่วนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเล็งเห็นถึงความสำคัญในการดูแลเด็กพิการด้อยโอกาสในพื้นที่เพราะเด็กพิการเหล่านี้ก็คือลูกหลานของเรา จึงก่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กพิการด้อยโอกาสในพื้นที่ของตนเอง อย่างที่น้องชิมิได้รับ ถ้าทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมและสร้างความต่อเนื่องก็จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนในการสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาอย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ครูต้อยอยากให้กำลังใจคุณแม่ที่เป็นเด็กพิการว่า “แม้ว่าครูต้อยจะเป็นผู้ดูแลเด็กพิการแต่สิ่งที่สำคัญคนที่จะเข้าใจช่วยเหลือได้ดีที่สุดคือ “แม่” ความเป็นแม่สามารถดูแลลูกได้ดีที่สุด อยากบอกว่าเวลาทุกวันนี้เดินไปเร็วมาก ลูกก็โตขึ้นทุกวัน พ่อแม่ก็ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่ถ้าหากทำงานมากไป หารู้ไม่ว่าวัยทองซึ่งเป็นวัยที่สำคัญของลูกจะถูกเลยไปตามเวลา และเชื่อว่าสิ่งที่ลูกต้องการคือความรัก ความอบอุ่นจากพ่อและแม่ และสิ่งที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ “โอกาส” ที่ทุกภาคส่วนสามารถช่วยหยิบยื่นให้
ในวันแม่แห่งชาติปีนี้ แม้ว่าน้องชิมิจะไม่สามารถพูดบอกรักแม่ได้ แต่สิ่งที่น้องชิมิได้ทำให้แม่คือการพยายามเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการร่างกายของตนเองให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เหมือนคนอื่น ๆ หวังว่าพื้นที่ตรงนี้จะเป็นตัวกลางในการสื่อสารเพื่อส่งกำลังใจให้แก่คุณแม่ทุกคนในการใช้ชีวิตต่อไปและขอให้เชื่อว่าสังคมไทยและทุกภาคส่วนพร้อมที่จะมอบโอกาสดีๆ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียม .