รศ.ดร. ประภัสสร์ ชี้นโยบายการทูต-ต่างประเทศไทยหยุดนิ่งมากว่า 10ปี
รศ.ดร. ประภัสสร์ เทพชาตรี ชี้ สิ่งที่ขาดไปในนโยบายการต่างประเทศของไทย คือ ยุทธศาสตร์เชิงรุกในเวทีพหุภาคี ด้านอดีตเอกอัครราชทูตไทย แนะหากอยากปฏิรูปในด้านต่างๆ ให้เข้มแข็งอย่าไปห่วงว่าใครจะมองอย่างไร
เนื่องในโอกาสวันที่ 8 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันอาเซียน ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ จัดงาน TU-ASEAN Week 2014 ระหว่างวันที่ 4-8 สิงหาคม 2557 เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 47 ปี ของการก่อตั้งอาเซียน ณ ศูนย์ประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กรุงเทพฯ
รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงปัญหาในด้านต่างๆ ของประเทศไทยว่า ประเทศไทยหยุดนิ่งอยู่กับที่มากว่า 10 ปี ปัญหาต่างๆ หมักหมมและกลายเป็นวิกฤตหนักขึ้นเรื่อยๆ ระบบต่างๆ เริ่มจะล่มสลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคม คุณภาพชีวิต คอร์รัปชั่น ระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ คนไทยตีกันเอง และระบบการศึกษาที่ล้มเหลว เป็นต้น
“ถ้าจะพูดถึงปัญหาของประเทศไทย ไม่จบสิ้น เพราะมีอยู่เยอะมาก มองด้านไหนก็มีแต่ปัญหา” ผอ.ศูนย์อาเซียนศึกษา มธ. กล่าว และว่า ผลพวงของปัญหาเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยตกต่ำไปเรื่อยๆ และมีผลอย่างยิ่งต่อด้านการทูตและการต่างประเทศของไทย ทำให้การทูตและการต่างประเทศของไทยหยุดนิ่ง รวมไปถึงการสูญเสียบทบาทนำในอาเซียน สูญเสียบทบาทการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และความสำคัญในสายตาประชาคมโลกและมหาอำนาจ
รศ.ดร.ประภัสสร์ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่ขาดหายไปจากนโยบายต่างประเทศของไทยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา คือ การขาดยุทธศาสตร์ชาติแผ่นแม่บท การต่างประเทศไทยทำให้เราขาดนโยบายในเชิงรุก ขาดการผลัดดันความคิดริเริ่มใหม่ๆ ดังนั้นควรมีการปฎิรูปการต่างประเทศไทยโดยการจัดทำนโยบายด้านการต่างประเทศ กำหนดแนวทางใหญ่ๆ เป็นภาพรวมและภาพกว้าง ต้องมีการผลักดันนโยบายเชิงรุก คือจะต้องมียุทธศาสตร์สำหรับบทบาทของไทยในเวทีพหุภาคีต่างๆ โดยเฉพาะเวทีอาเซียน มีการปรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก รวมทั้งยุทธศาสตร์เชิงรุกกับมหาอำนาจและภูมิภาคอื่นๆด้วย
ด้านนายอัษฎา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทย กล่าวถึงการปฎิรูปประเทศไทยว่า การที่ประเทศไทยจะปฎิรูปในด้านต่างๆ ให้เข้มแข็มแข็งขึ้นนั้น ไม่จำเป็นต้องไปห่วงหรือกังวลว่า ใครจะมองหรือจะว่าอย่างไร เช่น ขจัดระบบคอร์รัปชั่น ขจัดระบบสองมาตรฐาน ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก
“ถ้าเราขจัดในสองเรื่องนี้ได้สังคมจะเข้มแข็งได้ คนอื่นจะเกรงใจเราเอง”อดีตเอกราชทูตไทย กล่าว และว่า ในด้านการต่างประเทศตอนนี้ยังดำเนินการหรือปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้มาก เพราะว่าไปร่วมกับประชาคมอาเซียนแล้วแต่ปัญหาไม่ได้มีมาก เพราะทุกอย่างสามารถยืดหยุ่นและกว้างมาก นโยบายด้านต่างๆของประเทศก็สามารถกำหนดไปในรูปแบบของประเทศไทยเอง ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องทำตามประเทศอื่นๆ ไปเสียหมด ดังนั้นหากประเทศยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องดำเนินการ
“ยกตัวอย่าง เรื่องระบบคอมมิวนิสต์หรือระบบประชาธิปไตย ซึ่งมีหลายแบบ ประเทศหนึ่งก็แบบหนึ่งอีกประเทศหนึ่งก็อีกอย่างหนึ่ง เราไม่ต้องทำตามไปเสียหมด เพราะฉะนั้นทำในแบบของเราให้เข้มแข็งที่สุดก่อน”นายอัษฎา กล่าว