เผาข้าวเน่า-Rebrand ข้าวไทย
คุณเคยเห็นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่เรียกคืนรถบางรุ่นที่ขายออกไปแล้วแต่เกิดพบว่ามีปัญหาในการผลิตหรือไม่? เขามีสปิริตพอที่จะเรียกรถคืนนับเป็นพันๆ หมื่นๆ คัน บางยี่ห้อที่ดราม่าหน่อยก็ถึงกับเอารถรุ่นที่มีปัญหามาทุบทิ้งต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก การทำเช่นนั้นไม่ทำให้เสื่อมศรัทธาในยี่ห้อรถของเขา แต่กลับธำรงค์รักษาชื่อเสียงหรือแบรนด์เนมของบริษัทรถของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคอย่างยิ่งยวด
ต้องยอมรับว่า 2-3 ปีของนโยบายจำนำข้าว กลิ่นตุๆ ของข้าวเสื่อมข้าวเน่าเหม็นตระหลบอบอวลไปทั่วโลก มีเพื่อนของผมรายหนึ่งจะไปกินข้าวกับเพื่อนฝรั่งที่ต่างประเทศ เพื่อนของเขาบอกว่า “อย่าไปกินข้าวไทยนะ!”
มีอีกกรณีหนึ่งที่ข้าวไทยระดับไฮเอนด์ที่ส่งออกไปขายออสเตรเลีย ตอนที่ข้าวถูกนำลงเรือไปข้าวนั้นบริสุทธิ์สะอาด แต่เมื่อเดินทางรอนแรมไปถึงฝั่งทะเลของลูกค้าพอเปิดสินค้าออกมาก็ปรากฏว่า ข้าวล็อตดังกล่าวมีเชื้อราขึ้นเต็มไปหมด ทำให้ข้าวถูกบล็อกไม่เฉพาะล็อตนั้น แต่บล็อกข้าวไทยทั้งหมดที่จะขายส่งออกไปยังประเทศนั้น เรื่องราวเป็นเพราะว่าข้าวดังกล่าวไปสีในโรงสีที่เคยรับจ้างปรับปรุงคุณภาพข้าวให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์สมัยนั้น เครื่องจักรของโรงสีก็เลยติดเชื้อราจากข้าวที่เอาไปปรับปรุงนั่นเอง ส่งผลให้ข้าวดีติดเชื้อกลายเป็นข้าวเน่าเมื่อถึงที่หมาย
พูดถึงคำว่า “ปรับปรุงคุณภาพข้าว” ต้องทำความเข้าใจ ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าข้าวเป็นสสารที่อ่อนไหวต่อการเสื่อมคุณภาพได้ไวที่สุด TDRI ระบุว่า การเก็บข้าวไว้ในโกดังแบบปกติจะทำให้ข้าวเหลืองและมีมอด ใน 3 เดือนแรกดัชดีความขาวจะลดลงจากร้อยละ 51.5 เหลือ 49.5 แมลงจะเพิ่มขึ้น 23.2 ตัวต่อกิโลกรัม ถ้าเก็บไว้ 6 เดือน ความขาวจะลดลงเหลือร้อยละ 49 และแมลงจะเพิ่มขึ้นเป็น 90 ตัวต่อกิโลกรัม
ข้าวยังเพิ่มความสุ่มเสี่ยงที่จะนำสารพิษสู่ผู้บริโภคอีกด้วย เพราะข้าวมีคุณสมบัติพร้อมแก่การปฏิกิริยาทั้งทางฟิสิกส์และเคมี การเหลืองของข้าวก็คือออกซิเดชั่นเกิดเป็นอนุมูลอิสระ ข้าวยังดูดความชื้นและสารเคมีรอบตัว ใครที่เป็นแม่บ้านจะรู้ว่า เราสามารถใช้ข้าวสารเป็นตัวดูดความชื้นหรือดูดกลิ่นต่างๆที่ไม่พึงประสงค์ในครัวเรือนได้ ข้าวเกิดมอดและเชื้อราได้ง่าย การที่โกดังข้าวทั้งหลายเร่งอัดน้ำยาเคมีกันเข้าไป สารเคมีเหล่านั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ตัวข้าวอย่างง่ายดาย การกินข้าวดังกล่าวก็เท่ากับรับทั้งสารอนุมูลอิสระ รับทั้งสารเคมีที่ใช้รมข้าว รับทั้งเชื้อราและสารพิษอะฟลาท็อกซินเข้าไปเต็มๆ อะฟลาท็อกซินเป็นสารพิษที่คงทนต่อความร้อนไม่สลายด้วยการหุงต้ม เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหลายอวัยวะเช่นตับ ลำไส้ แม้แต่การสูดฝุ่นในโกดังข้าวก็มีโอกาสเกิดมะเร็งปอดอีกด้วย
การ “ปรับปรุงคุณภาพข้าว” ตัวกระบวนการก็คือการเอาข้าวที่เสื่อมคุณภาพไม่ว่าจะเป็นสีที่เหลืองหม่นลงไป เพราะถูกออกซิไดซ์ การถูกมอดกัดแทะให้บางส่วนเป็นฝุ่นข้าว การขึ้นเชื้อราที่ทำให้เกิดสีเป็นหย่อมๆ เอาข้าวเหล่านั้นมา “ขัด” เพื่อให้เมล็ดข้าวเสียดสีกันเองภายใต้การพ่นไอน้ำ ชั้นสีเหลืองก็ดี ฝุ่นก็ดี เชื้อราเป็นหย่อมๆก็ดี จะถูกเกลี่ยให้ทั่ว บางส่วนชะล้างออกไป กลายเป็นรำข้าว ซึ่งมิใช่จะทิ้งไปเปล่าๆ แต่ขายออกไปเป็นอาหารหมู อาหารไก่ อาหารปลา ขณะเดียวกันถ้าข้าวนั้นสีหม่นเหลืองนักก็จะเจือข้าวขาวปนเข้าไปเพื่อเจือจางความหม่นให้น่าดูขึ้น จากนั้นก็พร้อมแก่การบรรจุไปจำหน่ายต่อไป รวมความแล้วก็คือกระบวนการ “ย้อมแมว” นั่นเอง กระบวนการนี้สามารถทำให้สิ่งเสียดูเป็นสิ่งดีมีราคาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่แท้ที่จริงเป็นการผลักใสสารพิษจากข้าวเสื่อมข้าวเน่าเข้าสู่ปากท้องผู้บริโภคอย่างร้ายกาจที่สุด ทั้งทางตรงคือข้าวบรรจุถุงให้ไปบริโภค และทางอ้อมคือรำข้าวที่เอาไปเลี้ยงปศุสัตว์แล้วตกสู่ท้องผู้คนอีกที
ผมเคยเขียนบทความชื่อ “ตามรอยข้าวเน่า เข้าปากคนไทย” ลงในเฟสบุ้กของตนเองเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2013 จับประเด็นเฉพาะความเสี่ยงทางสุขภาพสรุปได้ว่า 1)นโยบายจำนำข้าวทำให้ข้าวล้นสต็อกเกิดข้าวเสื่อมเริ่มเน่า 2) รัฐบาลจัดจ้างให้บริษัทค้าข้าวนำข้าวเสื่อมข้าวเน่าไปปรับปรุงคุณภาพบรรจุถุง ล็อตแรกคนไทยกินไปแล้วเป็นข้าวช่วยน้ำท่วม ที่เหลือเป็นข้าวถุงราคาถูกที่ขายในนามของรัฐบาล 3)ข้าวทั้งดีทั้งเสื่อมทั้งเน่า รัฐบาลจะเปิดประมูล ผู้ค้าที่ประมูลซื้อแล้วก็หันไป“ปรับปรุงคุณภาพ” ส่วนหนึ่งขายตามห้าง (ข้าวตามห้างจะมีหลายเกรด ทั้งที่สะอาดและทั้งที่ “ย้อมแมว”) อีกทางหนึ่งคือเวียนเทียนขายข้าวเชื้อรานั้นกลับไปให้โรงสี 4)โรงสีจะเปิดรับจำนำข้าวจากชาวนา เอาข้าวดีส่งออกแล้วเอาข้าวเสื่อมข้าวเน่าที่รับซื้อเวียนเทียนมาสวมสิทธิ์ หลายๆครั้งที่เอาข้าวเขมรมาสวนสิทธิ์อีกด้วย 5)ด้วยวงจรนี้ข้าวมีโอกาสขายส่งนอกน้อยเต็มที จึงทั้งเสื่อมทั้งเน่า (อย่างกรณีข้าวป่นเป็นผงซึ่งจับได้ครั้งแรกที่วัดโบสถ์ทั้งที่ตามบัญชีเพิ่งซื้อไม่นาน นั่นคือตัวอย่างข้าวเวียนเทียนที่ทำซ้ำหลายรอบ) 6)ข้าวเน่ามีแต่รอให้ “ย้อมแมว” รุ่นแล้วรุ่นเล่ารอให้คนไทยช่วยกันกินให้หมดประเทศ หรือจนกว่าจะเป็นมะเร็งตายกันไปข้างหนึ่ง
หลังจากที่ประเด็นข้าวเน่าเริ่มเป็นที่สนใจของสังคม บริษัทข้าวยักษ์ใหญ่ได้กลบเกลื่อนประเด็นด้วยการข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องพิธีกรโทรทัศน์ที่บังเอิญระบุชื่อผลิตภัณฑ์ข้าวของตน พร้อมกันนั้นก็ร่วมมือกับรัฐบาลเวลานั้นด้วยการแสดงดราม่ากินข้าวให้ผู้สื่อข่าวชม ทำราวกับว่าเรื่องข้าวเสื่อมข้าวเน่าล้วนไม่ความจริง แต่หลังจากนั้นเมื่อมีการสำรวจก็พบว่าข้าวถุงร้อยละ 73.9 พบสารรมควันข้าวเมธิลโบรไมด์หลายระดับทั้งระดับน้อยจนสูงเกินมาตรฐานระหว่างประเทศ (0.9 – 67 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) และตัวเลขสารเคมีเกษตรก็มีสถิติการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นในปี 2555 ถึงร้อยละ 62 อย่างไรก็ดี เรื่องสารพิษก่อมะเร็งอะฟลาท็อกซินกลับไม่มีรายงานการวิเคราะห์ออกมาเลย นับจากวันนั้นถึงปัจจุบัน
มา ณ วันนี้ที่คสช.เริ่มเปิดโกดังข้าวทั่วประเทศ ก็พบความจริงต่างๆของวงจรข้าวเน่า ข้อสังเกตมีว่า นอกจากคสช.ได้ให้ความสนใจในเรื่องทุจริตคอรัปชั่นแล้ว สิ่งที่คสช.ควรให้ความใส่ใจเพิ่มขึ้นก็คือ การสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางอาหารแก่คนไทยและคนทั่วโลกได้อย่างไร? (เพราะไทยก็คือครัวของโลก) พร้อมกันนั้นทำอย่างไรที่จะกู้คืนชื่อเสียงของข้าวไทยที่เหม็นโฉ่ไปทั่วโลกให้กลับคืนมา?
ความคิดเห็นของผมก็คือ
1)ควรพิสูจน์คุณภาพข้าวและแยกประเภทให้ชัดเจน ทั้งนี้นอกจากคุณสมบัติทางกายภาพของข้าวแต่ละโกดังแล้ว ขอเสนอให้พิสูจน์ทางเคมีโดยเฉพาะสารอะฟลาท็อกซินของข้าวแต่ละล็อตอีกด้วย
2)ข้าวที่พิสูจน์ว่าได้คุณภาพทั้งกายภาพและทางเคมีก็พร้อมขายให้แก่ทั้งผู้บริโภคในประเทศและส่งออกให้ต่างประเทศ ควรคืนความสุขให้คนในชาติด้วยการจำหน่ายข้าวดีให้แก่ประชาชนในประเทศก่อน
3)ข้าวที่พิสูจน์ว่าเป็นข้าวเสื่อมข้าวเน่า ควรแยกกองออกมาต่างหาก อย่าปล่อยข้าวเสื่อมข้าวเน่าให้ลอยนวล ไม่ควรนำไป “ย้อมแมว” บรรจุถุงขายให้กับประชาชนอีก ไม่ควรนำไปบริจาคไม่ว่าภายในหรือต่างประเทศ และระวังด้วยว่าไม่ควรส่งเป็นเสบียงอาหารแก่ทางกองทัพด้วยเป็นอันขาด ไม่ควรแม้แต่เอาไปเลี้ยงปศุสัตว์เพราะอะฟลาท็อกซินจะย้อนกลับมาหาคน และใครก็ตามที่กินข้าวเสื่อมข้าวเน่าล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งซึ่งจะปรากฏผลใน 5-10 ปีข้างหน้า
แล้วจะจัดการกับข้าวเสื่อมข้าวเน่าเหล่านี้อย่างไร? เอาไปกลบฝัง เอาไปทิ้งทะเล ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้นเพราะเท่ากับปล่อยสารพิษกองใหญ่เข้าสู่สิ่งแวดล้อม
ทางออกประการเดียวคือ “เผา” ให้จัดการเผาข้าวเน่าต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก ทำให้ดราม่าเหมือนกับที่บริษัทรถยนต์ทุบรถของตนเอง การทำเช่นนี้ด้านหนึ่งเป็นการฟ้องชาวโลกถึงผลกรรมของการทุจริตคอรัปชั่นในโครงการจำนำข้าว อีกด้านหนึ่งเท่ากับซื้อใจผู้บริโภคทั่วโลก ให้เห็นถึงความ “ใจใหญ่” ของประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกอย่างประเทศไทย ว่าเรากล้ารับประกันคุณภาพของข้าวที่จะส่งไปถึงปากท้องของเขา นับเป็นการ Rebrand ข้าวไทยที่ได้ใจที่สุด