พลิกปูมหลัง พงศพัศ-สุชาติ 2 บิ๊กขรก.โดน บิ๊กตู่ สอยพ้นทาง
ยิ่งในช่วงที่ “พล.ต.อ.พงศพัศ” รับตำแหน่งเลขาฯป.ป.ส. แล้ว การทำงานเหมือนจะตัวติดกันกับ “ยิ่งลักษณ์” จน “พล.ต.อ.พงศพัศ” ถูกคาดหมายให้เป็น “ผู้ท้าชิง” ตำแหน่งผบ.ตร.คนใหม่
ในที่สุดคำสั่ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ. หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับจริงเด้ง “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” พ้นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และให้กลับไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมา
แถมยังพ่วงคำสั่งย้าย “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย” พ้นตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม รวมไปด้วยพร้อมกัน
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงรวบรวมความเป็นมาในการทำงานของ “พล.ต.อ.พงศพัศ” และ “พ.ต.อ.สุชาติ” มานำเสนอ
“พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า “จูดี้” เติบโตมาตามเส้นทางของข้าราชการตำรวจมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่เป็นนายเวรติดตาม “พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการศูนย์คอมพิวเตอร์ตำรวจและผู้บังคับการกองสารนิเทศ กรมตำรวจ และในปี พ.ศ. 2540 จากนั้นได้เลื่อนขึ้นรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
“พล.ต.อ.พงศพัศ” เป็นที่รู้จักดีของสังคม หลังรับตำแหน่ง “โฆษกกรมตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” การทำหน้าที่ดังกล่าวถือว่าโดดเด่นอย่างมากมาก จนเป็นที่กล่าวขานกันโดยทั่วไป แต่กลับโดน “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” อดีตผบ.ตร. สั่งย้ายออกจาตำแหน่ง โดยแต่งตั้ง “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” รักษาการผบ.ตร. ในปัจจุบัน ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
ทว่าในปี 2552 ความโดดเด่นของ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ยังเข้าตา “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” รักษาการผบ.ตร. ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่งตั้งให้กลับมารับตำแหน่งโฆษกสตช.เหมือนเดิม การกลับมาครั้งนี้ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ทำหน้าที่ได้แถบไม่ขาดตกบกพร่อง จนได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "ดาราสีกากี" เนื่องจากมักปรากฏตัวผ่านทาง “สื่อมวลชน” แทบทุกวัน เสมือนดาราภาพยนตร์คนหนึ่ง
แต่ในช่วงกลางปี 2553 “พล.ต.อ.พงศพัศ” ตัดสินใจวางไมโครโฟน ลาขาดจากตำแหน่ง “โทรโข่งสตช.” โดยให้เหตุผลว่าดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 5 สมัยแล้ว
จากนั้นไม่นาน “พล.ต.อ.พงศพัศ” ในช่วงผลัดเปลี่ยนมาเป็น “รัฐบา]ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชีวิตข้าราชการตำรวจของ “บิ๊กจูดี้” ก็รุ่งสุดขีด เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ.10) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ เทียบเท่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เท่านั้นยังไม่พอช่วงปลายปี 2555 “บิ๊กจูดี้” ได้รับความไว้วางใจจาก “พรรคเพื่อไทย” ให้ลงสมัครรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เบื้องลึกรู้กันดีว่า “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ออกแรงเชียร์สุดตัว ถึงขั้นเคลียร์กับ “ผู้ใหญ่ในเพื่อไทย” ให้ด้วยตัวเอง
“พล.ต.อ.พงศพัศ” ตัดสินใจลาออกจากข้าราชการตำรวจ ลงลุยเวทีการเมืองอย่างเต็มตัว หยิบได้เบอร์ 9 สร้างตำนานเดินหาเสียงจนรองเท้าขาด กระโดนขึ้นขับรถเมล์ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
สุดท้าย “บิ๊กจูดี้” ก็ซดแห้วเข้าเต็มกระป๋อง เมื่อไม่สามารถเอาชนะ “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” ผู้สมัครจากปชป. ได้
แต่ที่ “พล.ต.อ.พงศพัศ” โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหนีไม่พ้นการที่ลาออกจากข้าราชการตำรวจแล้ว แต่เมื่อแพ้การเลือกตั้ง ยังมี “บิ๊กเพื่อไทย” หลายคนเห็นพ้องกันให้รับ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ให้กลับมาดำรงตำแหน่งเลขาฯป.ป.ส.
ยิ่งในช่วงที่ “พล.ต.อ.พงศพัศ” รับตำแหน่งเลขาฯป.ป.ส. แล้ว การทำงานเหมือนจะตัวติดกันกับ “ยิ่งลักษณ์” จน “พล.ต.อ.พงศพัศ” ถูกคาดหมายให้เป็น “ผู้ท้าชิง” ตำแหน่งผบ.ตร.คนใหม่
แต่ความฝันของ “พล.ต.อ.พงศพัศ” ต้องพังทลายหายไปทันที เมื่อ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” เข้ายึดอำนาจ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ก่อนที่ “พล.ต.อ.พงศพัศ” จะโดนคำสั่งย้ายเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2557 ภายหลัง “คสช.” ให้เวลาพิสูจน์ฝีมือการปราบปรามยาเสพติดแล้ว 30 วัน
ปิดฉาก “ดาราสีกากี” ที่ทำงานใกล้ชิดกับ “สื่อมวลชน” จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าได้ดีเพราะ “ออกสื่อ”
“พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย” เคยเป็นอดีตนายเวรของ “พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นพี่ชายของ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” นักการเมืองคู่บารมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ในช่วงที่ “พ.ต.อ.สุชาติ” ทำงานที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีผลงานเด่นเข้าตา “พ.ต.ท.ทักษิณ” โดยเฉพาะดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัทเอสซี แอสเซท จำกัด (มหาชน) ยุคพ.ต.อ.สุชาติ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง “พ.ต.ท.ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร” ผู้ต้องหา ทำให้ “อัยการ” มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามที่เสนอ
นอกจากนี้ “พ.ต.อ.สุชาติ” ยังมีความสนิทสนมกับ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” อดีตรองนายกฯ ซึ่งเคยได้รับเงินช่วยเหลือในงานศพบิดาจาก “ร.ต.อ.เฉลิม” หลักแสนบาท
ด้วยผลงานที่เข้าตา “บิ๊กเพื่อไทย” และสายสัมพันธ์เก่าทั้ง “นายใหญ่-นายหญิง” ส่งให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” อดีตรมว.ยุติธรรม ต้องชงชื่อ “พ.ต.อ.สุชาติ” นั่งตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่ถือเป็นกรมใหญ่ที่สุดของกระทรวงยุติธรรม มีงบประมาณและข้าราชการมากกว่าทุกกรม
ระหว่างการบริหารกรมราชทัณฑ์ ประเด็นหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พ.ต.ท.สุชาติคือกรณีการจัดซื้อจัดจ้าง ในเรื่องการผูกปิ่นโตซื้ออาหารดิบมาเลี้ยงผู้ต้องขังนับสิบปีจากหน่วยงานของรัฐ 3 แห่ง คือ องค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย รวมวงเงินนับหมื่นล้านบาท ซึ่งทำกันมายาวนานหลายยุคหลายสมัย หน่วยงานที่เป็นคู่สัญญากับกรมราทัณฑ์ก็ไปจ้างเอกชนอีกทอดหนึ่ง จนนำมาสู่กรณีการเรียกรับสินบนการจัดซื้ออาหารผู้ต้องขังของรองผู้อำนวยการ อ.ต.ก.ที่ จ.ชุมพร กรณีการจัดซื้อของใช้ส่วนตัวของนักโทษ อาทิ ยาสระผม แปรงสีฟัน ขันอาบน้ำ ที่มีการร้องเรียนว่าผูกขาดรายเดียว เป็นต้น
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.สุชาติยังเป็นประธานบอร์ด บมจ.ทีโอที ซึ่งองค์กรนี้มีปัญหาในเรื่องการเบิกค่าจัดประชุม การจัดซื้อจัดจ้าง เช่ารถ และการร้องเรียนจากสหภาพพนักงาน ทีโอที กรณีเอื้้อประโยชน์ให้เอกชนฯลฯ ซึ่งก็ต้องดูว่าจะมีการเปลี่ยนตัวหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า พ.ต.อ.สุชาติ สนิทสนมกับ “แกนนำคนเสื้อแดง” หลายคน อาทิ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” เป็นต้น เพราะเมื่อ “แกนนำคนเสื้อแดง” ต้องการให้ความช่วยเหลือ “คนเสื้อแดง” ที่ยังถูกคุมขัง มักจะต่อสายตรงไปถึง “พ.ต.อ.สุชาติ” ทันที
ทั้งหมดคือประวัติ-คอนเนกชั่นการเมือง ของ “พล.ต.อ.พงศพัศ-พ.ต.อ.สุชาติ” ที่ถือเป็นบิ๊กข้าราชการ 2 รายล่าสุด ที่โดน “พล.อ.ประยุทธ์” สั่งย้ายพ้นทาง