เปิดปูมคอนเนกชัน“บิ๊กข้าราชการ” หลังถูก คสช.สั่งเด้ง-แต่งตั้ง
"แต่ที่สำคัญสุดคือคอนเนกชันของ “สมชัย” ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเคยเรียน “วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร” (วปอ.) รุ่นเดียวกับ “พล.อ.ประยุทธ์” และตั้งแต่ “คสช.” เข้ามาบริหารประเทศ “สมชัย” โดน “พล.อ.ประยุทธ์” เรียกเข้าไปให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการคิดนโยบายทางเศรษฐกิจหลายครั้ง เพราะรู้มือ-รู้ใจกันดี"
ในที่สุด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ตัดสินใจล้างบาง “บิ๊กข้าราชการ” ที่เติบโตมาในช่วง “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”
โดยออกเป็นคำสั่งคสช.ย้ายกราวรูด 28 ตำแหน่ง แถมเป็นคำสั่งเด็ดขาดย้ายพ้นตำแหน่งเดิม พร้อมตั้ง "คนใหม่" ที่คสช.ไว้ใจขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนทันที
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงรวบรวมข้อมูลเพื่อไขปริศนาว่าเหตุใด “คสช.” จึงออกคำสั่งโยกย้ายแบบบางล้าง และเปิดเผยความสัมพันธ์เชิงลึกของ “บิ๊กข้าราชการ” พร้อมกันไปด้วย
“ศรีรัตน์ รัษฐปานะ” พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี : ซึ่งตามกระแสข่าวที่ออกมาตลอด “ศรีรัตน์” มักถูกเชื่อมโยงว่าสนิทชิดเชื้อกับ “ยรรยง พวงราช” อดีตรมว.พาณิชย์ ใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” โดย "ศรีรัตน์" ถูกโจมตีเรื่องการดำเนินนโยบายขายข้าวมาตลอดว่ามีสนองแนวคิดของ "ยรรยง"
“ชุติมา บุณยประภัศร” พ้นตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ : ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดค้นนโยบาย “ไข่ชั่งกิโล” ให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” นำมาใช้ แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
แต่ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็น ข้าราชการ มือสะอาด
เพราะในช่วงนั่งตำแหน่งอธิบกรมการค้าภายใน โดน “พรทิวา นาคาศัย” อดีตรมว.พาณิชย์ เด้งเข้ากรุผู้ตรวจกระทรวงพาณิชย์ หลังเป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์เพียงคนเดียว ที่ออกมายืนยันว่าปริมาณน้ำตาลไม่ขาดตลาด ในช่วงที่เกิดปัญหาน้ำตาลขาดแคลน
นอกจากนี้ “ชุติมา” ยังมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนสนิทกับ “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล” รองประธานที่ปรึกษาคสช. ด้วย
ท่ามกลางความมึนงงของ “คนในกระทรวงพาณิชย์” ว่า “ชุติมา” กลับมาผงาดได้อย่างไร เพราะก่อนหน้านี้คาดการณ์กันว่าอย่างเก่งคงกลับมาเป็นได้แค่ “อธิบดี” บางทีความสัมพันธ์กับ “หม่อมอุ๋ย” อาจะเป็นคำตอบ
“พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข” พ้นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษายุติธรรม : หากยังจำกันได้ในช่วงที่ “พ.ต.อ.ประเวศน์” ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับมอบอำนาจจาก “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อดีตอธิบดีดีเอสไอ สั่งรื้อคดีผู้เสียชีวิต 91 ศพ จากการชุมนุมเมื่อปี 2553
ทั้งที่ในช่วง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” การทำสำนวนคดีทั้งหมดเกือบเสร็จสิ้นแล้ว แต่เมื่อเข้าสู่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ท่าทีของดีเอสไอในคดีดังกล่าวกลับเปลี่ยนไป สั่งรื้อทำคดีใหม่ทั้งหมด ก่อนจะเร่งส่งให้ “อัยการ” สั่งฟ้อง “อภิสิทธิ์-สุเทพ”
หากยังจำกันได้ในตำแหน่งเลขาฯป.ป.ท. ในช่วงที่ “พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ” ยังดำรงตำแหน่ง ได้ไปขัดขาตรวจสอบ “เจ๊ด.” ที่มีข่าวเข้ามาเอี่ยวกับการทุจริตหลายด้าน ทั้งงบประมาณน้ำท่วมในภาคอีสานเมื่อปี 2554 และการตรวจสอบคดีนำเข้ารถหรูเลี่ยงภาษี
ทว่าในช่วงแรก “พ.ต.อ.ประเวศน์” ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งแทน “พ.ต.อ.ดุษฎี” จึงเปิดทางให้ “พ.ต.ท.โภคพิบูลย์ โปตระนันท์” เข้ารับตำแหน่งเลขาฯป.ป.ท. ก่อนส่งไม้ต่อให้ “พ.ต.ท.ประเวศน์” ในเวลาต่อมา
“ราฆพ ศรีศุภอรรถ” พ้นตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง : ยี่ห้อ “ราฆพ” ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่าเป็น “เด็กเจ๊แดง” ผู้มากบารมีใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เคยเป็นผู้อำนวยการศุลกากรภาค 3 (จังหวัดเชียงใหม่) จึงมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูล “ชินวัตร”
กระทั่งวันที่ 12 กรกฎาคม 2556 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แทน “เบญจา หลุยเจริญ” อดีตอธิบดีกรมศุลกากร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เพราะผู้เป็นประธานบอร์ดกองสลากจะต้องมีตำแหน่งอธิบดีกรม เทียบเท่า หรือ ตำแหน่งที่สูงกว่า เช่น ปลัดกระทรวงคลัง เนื่องจากเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ ขณะที่ “ราฆพ” เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลังไม่ถึง 1 เดือน
ทว่า “ราฆพ” ใช้เวลาไม่นานก็ทำงานเข้าตา “ฝ่ายการเมือง” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “อธิบดีกรมศุลกากร” เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา
หน่ำซ้ำ “ราฆพ” ยังโดนคดีหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้ารถหรู ซึ่ง “พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ” อดีตเลขาฯป.ป.ท. ชงเรื่องให้ "ป.ป.ช." สอบสวน โดย “ราฆพ” ผัวพันกับคดีดังกล่าวในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ในปี 2555 โดยระบุว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนนำรถยนต์หรูหลีกเลี่ยงภาษีจากต่างประเทศ
“สมชัย สัจจพงษ์” พ้นตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร : เป็นที่รู้กันดีว่า “สมชัย” เคยดำรงตำแหน่ง “อธิบดีกรมศุลกากร” มาก่อน เมื่อปี 2552-2553 แถมยังความรู้ความเข้าใจโครงสร้างภาษีมากที่สุดคนหนึ่ง
แต่ที่สำคัญสุดคือคอนเนกชั่นของ “สมชัย” ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเคยเรียน “วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร” (วปอ.) รุ่นเดียวกับ “พล.อ.ประยุทธ์” และตั้งแต่ “คสช.” เข้ามาบริหารประเทศ “สมชัย” โดน “พล.อ.ประยุทธ์” เรียกเข้าไปให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการคิดนโยบายทางเศรษฐกิจหลายครั้ง เพราะรู้มือ-รู้ใจกันดี
“อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม” พ้นตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.) ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน : เคยดำรงตำแหน่งเป็น “ปลัดกระทรวงคลัง” แต่มีกระแสข่าวออกมาว่า “อารีพงศ์” ทำงานไม่ตอบสนองนโยบายของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ในกรณีการปิดบัญชีข้าว เพราะ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ต้องการปั่นยอดน้อยลง
นอกจากนี้ “อารีพงศ์” ยังรู้จักคุ้นเคยกับ “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” ผบ.ทอ. ในฐานะรองหัวหน้าคสช. เพราะนั่งเป็นบอร์ดการบินไทยมาด้วยกัน ฝีมือการทำงานของ “อารีพงศ์” อยู่ในสายตาของ “พล.อ.อ.ประจิน” ตลอด เรียกว่ารู้มือกันดี จึงไม่แปลกที่ “อารีพงศ์” จะมานั่งปลัดกระทรวงพลังงาน ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “พล.อ.อ.ประจิน” อาจจะมานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
"สุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ" พ้นปลัดกระทรวงพลังงาน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี : มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่ช่วงที่ “สุเทพ” เข้ามารับตำแหน่งปลัดกระทรวงหลังงานใหม่ๆว่า มักจะทำงานสนอง “นักการเมือง” และมีบางกระแสข่าวระบุว่า “สุเทพ” มีความสนิทสนมกันดีกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา
หน่ำซ้ำ “สุเทพ” มักถูกกล่าวหามาตลอดว่า จึงมือชงข้อมูลด้านพลังงานให้ “นักการเมือง” รู้ล่วงหน้า เพื่อหาทางเก็งกำไร
ประจวบกับที่ “คสช.” ต้องการปฏิรูปนโยบายพลังงานให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศไทยมากที่สุด “สุเทพ” จึงไม่มีที่ยืนในกระทรวงพลังงานอีกต่อไป
“ทศพร ศิริสัมพันธ์” พ้นเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี : เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และเป็นมือไม้ของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มาโดยตลอด
หลังจากนั้นโดน “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” อดีตรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล “ก.พ.ร.” เสนอชื่อเข้ามาให้ “กระทรวงศึกษาธิการ” รับโอนมาอยู่ในตำแหน่งเลขาธิการกกอ. เพราะเห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานด้านอุดมศึกษา
ทั้งหมดคือที่มาที่ไป-คอนเนกชั่นของ "บิ๊กข้าราชการ" ที่เข้ามาทำงานในตำแหน่งสำคัญ ซึ่งต่างก็มีประวัติการทำงานต่างกรรมต่างวาระกันออกไป