ลือหนัก!แก๊งลักเด็ก ชาวบ้านผวา - จนท.หวั่นซ้ำรอย "โจรนินจา"
"ตอนนี้ชาวบ้านในพื้นที่หวาดผวากับแก๊งลักเด็กที่เกิดขึ้นทุกวัน ไม่เป็นอันทำอะไรแล้ววว ช่วยเรื่องนี้ก่อนได้ไหม????? กลัวมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
เป็นหนึ่งในหลายๆ ข้อความที่ส่งเข้ามาทางระบบเฟซบุ๊คของศูนย์ข่าวอิศราเมื่อสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนาฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกระแสความหวั่นวิตกของคนในพื้นที่กับข่าว "แก๊งลักเด็ก" ที่ใช้รถตู้ปริศนาเป็นพาหนะ
ต้นเรื่องที่อาซ่อง รามัน
ต้นสายปลายเหตุของข่าวนี้อยู่ที่ อ.รามัน จ.ยะลา มีเรื่องเล่าต่อๆ กันว่ามีรถตู้สีขาวไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน ภายในรถมีชายวัยรุ่นประมาณ 4-5 คน ออกตระเวนพยายามลักเด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านสะโต ตั้งอยู่หมู่ 5 ต.อาซ่อง อ.รามัน โดยมีเด็กที่เป็นเป้าหมาย 3 คนขณะกำลังปั่นจักรยานกลับบ้านหลังเลิกเรียน บนถนนสายรามัน-กลาพอ แต่ปฏิบัติการของกลุ่มคนร้ายล้มเหลว เนื่องจากมีชาวบ้านขี่รถจักรยานยนต์มาประสบเหตุพอดี รถตู้คันดังกล่าวจึงเร่งเครื่องหลบหนีไป เหตุการณ์ที่ว่านี้อ้างว่าเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.57
เรื่องแก๊งลักเด็กเป็นประเด็นอ่อนไหวไม่เฉพาะที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นทุกภาค ทุกจังหวัดของประเทศ ไม่ว่าจะมีข่าวเกิดขึ้นที่ไหน แม้กระทั่งกรุงเทพฯ ก็มักจะสร้างความหวาดผวา หวาดกลัว พ่อแม่ผู้ปกครองพากันเคร่งเครียดและสั่งแกมบังคับให้ลูกหลานเล่นอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอกบ้าน โดยเฉพาะเวลาเย็นย่ำใกล้ค่ำ และช่วงกลางคืน
บรรยากาศแบบนี้เกิดที่ชายแดนใต้เช่นกัน...
เปิดภาพรถตู้ต้องสงสัย
กระแสข่าวลือก็ดังไปถึงตำรวจ ทำให้ พล.ต.ต.ทรงเกียรติ วาทะกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา สั่งการให้ชุดสืบสวน สภ.รามัน ลงไปหาพยานหลักเพิ่มเติม ทั้งพยานบุคคลและผู้ใกล้ชิดกับเด็กที่ประสบเหตุ โดย ร.ต.ท.วีระชัย อักษรถึง รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน (รอง สว.สส.) สภ.รามัน ได้นำกำลังรุดไปขอข้อมูลครูประจำชั้น ผู้อำนวยการโรงเรียน และเด็กนักเรียน เพื่อเป็นแนวทางในการติดตามหาตัวแก๊งคนร้าย
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นได้ภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่จับภาพรถตู้ต้องสงสัยเอาไว้ได้ รถตู้คันนี้แล่นผ่านเขตเมืองรามันในวันที่อ้างว่าเกิดเหตุจริงๆ จึงได้ประสานไปยัง สภ.ทุ่งยางแดง สภ.กะพ้อ จ.ปัตตานี และ สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อ เพื่อสืบสวนหารถตู้ที่มีลักษณะเดียวกับที่พบเห็นจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
รถตู้ต้องสงสัยคันนี้ยี่ห้อโต้โยต้า รุ่นคอมมูเตอร์ สีบรอนซ์เงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน กระจกติดฟิล์มดำรอบคัน ล้อแม็กซ์สีดำ
ขณะที่ทางโรงเรียนได้กำหนดมาตรการให้ผู้ปกครองไปส่งและรับนักเรียนที่หน้าประตูโรงเรียนทุกวัน โดยไม่ยินยอมให้นักเรียนปั่นจักรยานมาและกลับโรงเรียนอย่างเด็ดขาด พร้อมให้ชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) จัดเวรเฝ้าระวังตามเส้นทางเปลี่ยวปลอดบ้านคนเป็นประจำทุกวันด้วย
"แม่ทัพ-ผู้การยะลา"สั่งตั้งด่านเข้ม
มาตรการเบื้องต้นดูจะไม่เพียงพอ และไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้ ทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดไม่หยุด พล.ต.ต.ทรงเกียรติ บอกว่า ข่าวแก๊งรถตู้ลักตัวเด็กแพร่กระจายไปทั้งจังหวัด แต่จากการตรวจสอบยังไม่มีเด็กในพื้นที่ถูกลักพาตัว จึงขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันตรวจสอบบุคคลแปลกหน้า รวมทั้งรถตู้ต้องสงสัย และรถต้องสงสัยอื่นๆ รวมทั้งขอให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ควรปล่อยให้อยู่หรือเล่นตามลำพัง
นอกจากนั้น ยังได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกโรงพักให้ตรวจสอบรถตู้และรถยนต์ต้องสงสัยในพื้นที่รับผิดชอบอย่างใกล้ชิด พร้อมประสานกับเจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมทั้งกองกำลังภาคประชาชนด้วย เช่นเดียวกับตามจุดตรวจจุดสกัดต่างๆ โดยเฉพาะจุดตรวจ 4 มุมเมืองที่จะเข้าสู่เทศบาลนครยะลา
จุดตรวจดังกล่าวประกอบด้วย
- จุดตรวจมลายูบางกอก ตรวจสอบบุคคลและยานพาหนะที่มาจากพื้นที่ อ.รามัน อ.เมืองยะลา อ.บันนังสตา อ.ธารโต อ.เบตง)
- จุดตรวจขุนไว ตรวจสอบบุคคลและยานพาหนะที่มาจากพื้นที่ จ.ปัตตานี และนราธิวาส
- จุดตรวจท่าสาป ตรวจสอบบุคคลและยานพาหนะที่มาจากพื้นที่ อ.เมืองยะลา อ.ยะหา อ.กาบัง และ จ.ปัตตานี
- จุดตรวจโพธิ์ทอง ตรวจสอบบุคคลและยานพาหนะ ที่มาจากพื้นที่ อ.เมืองยะลา อ.รามัน และ จ.ปัตตานี กับ จ.นราธิวาส
ขณะที่ พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ยืนยันว่าฝ่ายทหารไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร
ลือรวบคนร้าย-ลือจับเด็กข้ามจังหวัด
แม้ฝ่ายความมั่นคงจะใช้มาตรการเข้มขึ้น แต่ข่าวลือไปไกลจนหยุดไม่อยู่ พื้นที่ที่อ้างว่ามีปฏิบัติการลักเด็กจากแก๊งปริศนาขยายไปถึงปัตตานีและนราธิวาส แต่ตามข่าวบอกว่าคนร้ายยังไม่สามารถเอาตัวเด็กไปได้ ขณะที่ตามมัสยิดมีการประกาศให้ชาวบ้านระวังลูกหลาน ที่หนักกว่านั้นคือเริ่มมีการแชร์ภาพศพเด็กและภาพรถตู้ เอามาปะติดปะต่อกัน อ้างว่าแก๊งรถตู้ลักเด็กไปชำแหละเอาอวัยวะภายใน ทั้งๆ ที่ภาพศพเด็กน่าจะเป็นภาพเก่าจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ เป็นเหตุการณ์ในอดีตหลายสิบปีแล้ว และไม่น่าจะใช่ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่นราธิวาส มีข่าวพบรถตู้ต้องสงสัย หมายเลขทะเบียน ฮบ 7200 กรุงเทพมหานคร และภายหลังมีข่าวจับรถตู้ต้องสงสัยได้แล้ว ตามข่าวระบุว่าเป็น อ.แว้ง แต่เมื่อตรวจสอบไปกลับกลายเป็นปัญหาครอบครัวหย่าร้าง พ่อกับแม่แย่งลูกกัน ไม่ใช่ปัญหาแก๊งลักเด็ก
จากนั้นก็มีข่าวลักเด็กอีกหลายพื้นที่ รถตู้ต้องสงสัยเริ่มเปลี่ยนเป็นรถกระบะ มีทั้งข่าวลักเด็กสำเร็จและไม่สำเร็จ บางกรณีมีการฉุดกระชากกันกลางวันแสกๆ เช่น พื้นที่ ต.ท่าธง อ.รามัน, บริเวณหน้าโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมืองนราธิวาส, ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และ อ.ยะหา จ.ยะลา เป็นต้น
รัฐเชื่ออุปทาน-ยันไม่มีรับแจ้งความ
ต่อมามีรายงานอย่างค่อนข้างเป็นทางการจากฝ่ายความมั่นคง สรุปว่าจากกรณีรถตู้จับเด็ก เริ่มประสานจาก สภ.รามัน จ.ยะลา มีการนำชาวบ้านและเด็กมาสอบสวน ผลคือให้การไม่ตรงกัน สรุปว่าไม่มีการกระทำเกิดขึ้น พื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ไม่มีการแจ้งความเกี่ยวกับเรื่องนี้ พื้นที่ สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส มีข่าวสกัดจับรถตู้ต้องสงสัยได้ แต่เมื่อตรวจสอบไปจริงๆ กลับไม่พบข้อมูล และไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์จากผู้เสียหาย
พื้นที่ สภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส มีการแจ้งความ แต่จากการสืบสวนและสอบสวนครู นักเรียน และผู้ปกครอง พบว่าเป็นอุปทานของเด็ก ขณะนี้พนักงานสอบสวนกำลังรอจำหน่ายคดี ส่วนพื้นที่ สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส มีการแจ้งให้สกัดรถตู้ต้องสงสัยจากพื้นที่ระแงะ แต่ไม่พบ และจากการตรวจสอบข้อมูลรถตู้ หมายเลขทะเบียนฮบ 7200 กรุงเทพมหานคร ไม่พบข้อมูลในสารบบแต่อย่างใด
พม.แนะพลิกวิกฤติเป็นโอกาส
นายธานินทร์ สมบูรณ์สาร พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ปัตตานี กล่าวว่า จากการประสานงานกับ พมจ.ยะลา ที่มีข่าวเรื่องนี้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นๆ ได้รับการยืนยันว่ากรณีแก๊งลักเด็กไม่เป็นความจริง
"เราได้คุยกับทางอัยการจังหวัดยะลาและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างบอกว่าไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องของการบอกต่อ แต่ถ้ามองในแง่ดีก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้สังคมตื่นตัวและเฝ้าระวัง ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะก่อนหน้าจะมีข่าวแก๊งลักเด็ก ก็มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับ พมจ.ทุกจังหวัดในพื้นที่ รวมทั้งมูลนิธิกระจกเงาซึ่งติดตามเรื่องคนหายอยู่แล้ว"
นายธานินทร์ กล่าวต่อว่า จากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ได้บทเรียนว่า พ่อแม่ผู้ปกครอง ตลอดจนโรงเรียน และชุมชนต้องเชื่อมโยงกัน ผู้ปกครองต้องไม่หวังให้ทางโรงเรียนดูแลเด็กเพียงฝ่ายเดียว ต้องมีเบอร์โทรศัพท์ของครู ของเพื่อนลูก เพื่อจะได้ติดต่อติดตามได้หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ที่สำคัญคือเฝ้าระวังแต่ต้องไม่ตื่นตระหนก
ความรู้สึกชาวบ้าน "เครียด-กลัว"
ชาว อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เล่าความรู้สึกให้ฟังว่า ข่าวขโมยเด็กเกิดขึ้นบ่อยมาก มีเรื่องใหม่ๆ ข่าวใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ไปตลาดทุกคนก็คุยเรื่องนี้ ครูที่โรงเรียนก็ทำจดหมายแจ้งให้ผู้ปกครองระวัง ตอนนี้กลัวจนไม่กล้าไปไหน ก็ไม่รู้จะพึ่งใครได้เหมือนกัน ทำได้แค่กลัว ไปคุยกับใครๆ ทุกคนก็จะพูดเหมือนกันว่ากลัว
นายเพาซี พะยิง ที่ปรึกษากลุ่มเฌอบูโด ซึ่งมีลูกเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 ใน ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี กล่าวว่า ตอนเช้าต้องไปส่งลูกขึ้นรถในหมู่บ้านเพื่อไปโรงเรียน จึงรู้สึกกังวลมากกับข่าวนี้ กลัวตอนที่ลูกต้องรอรถเพื่อกลับบ้าน ด้วยความที่เด็กเยอะมาก แต่งตัวคล้ายๆ กัน อาจมีคนร้ายแฝงเข้ามาหลอกล่อเด็กด้วยวิธีการต่างๆ ที่ผ่านมาเมื่อได้ข่าวก็ให้ลูกดูข่าวทางอินเตอร์เน็ต แล้วสอนว่าถ้าหากมีคนแปลกหน้าให้ขนมหรือให้เงิน อย่ารับและอย่าเข้าใกล้ ให้หนีไปหาคนรู้จัก และช่วยบอกเพื่อนๆ ด้วยว่ามันอันตราย แม้แต่ในหมู่บ้านช่วงค่ำๆ ที่มีเด็กไปเรียนอัลกรุอานที่มัสยิดก็อันตรายมากเหมือนกัน
ส่วนครูใน อ.ยะหา กล่าวว่า รู้สึกตกใจและกลัวมาก เป็นห่วงลูกหลานและเด็กนักเรียน ส่วนตัวก็ต้องเอาใจใส่นักเรียนมากกว่าเดิม ต้องยอมปากเปียกปากแฉะดุว่านักเรียนที่ชอบออกไปเล่นนอกรั้วโรงเรียน ไม่ว่าเรื่องที่เราได้ยินมาจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เราก็ไม่ควรประมาท ควรระวังดีกว่านิ่งเฉย
ฝ่ายมั่นคงกังขาซ้ำรอย"โจรนินจา"
กระแสข่าวลือเรื่องแก๊งลักเด็ก ถูกรายงานถึงผู้รับผิดชอบสูงสุดในภารกิจดับไฟใต้ในระดับพื้นที่ ทั้ง พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 และ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แต่เมื่อได้สั่งการให้ตรวจสอบอย่างละเอียดทุกพื้นที่แล้วพบว่ามีน้ำหนักไปในทาง "ข่าวลือ" มากกว่า "ข่าวจริง"
บางพื้นที่มีการปล่อยข่าวป้ายสีเจ้าหน้าที่ว่าเป็นคนร้ายอีกต่างหาก...
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงทำให้ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า อาจเป็นการปล่อยข่าวแบบมีเป้าหมาย คล้ายๆ กรณี "โจรนินจา" เมื่อปี 2546 ที่มีการปล่อยข่าวลือเรื่องคนร้ายที่ชอบปีนบ้านชาวบ้าน ลักขโมยของ แต่ไม่มีใครตามจับได้ เนื่องจากตัวลื่นเหมือนทาน้ำมัน แถมยังหลบหนีได้รวดเร็ว กระโดดจากต้นยางต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งได้ บางกระแสเรียก "มนุษย์น้ำมัน" หรือ "ออแกมิเยาะ"
ข่าวเรื่องโจรนินจาถูกปล่อยเป็นกระแสอยู่หลายเดือน กระทั่งผู้ปล่อยข่าวค่อยๆ บีบเป้าหมายให้แคบลงว่าอาจเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และนำเรื่องเล่าไปเชื่อมโยงกับเรื่องจริงที่มีเหตุลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นในช่วงนั้น ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ สุดท้ายจึงมีกระแสตามล่าโจรนินจา และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็คือตำรวจพลร่ม ซึ่งเป็นตระเวนชายแดน (ตชด.) 2 นาย ถูกรุมประชาทัณฑ์จนเสียชีวิตอย่างอนาถที่บ้านบือนังกือเปาะ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2546
ภายหลังมีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่บางหน่วยว่า ข่าวลือเรื่องโจรนินจาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่แฝงตัวเข้าไปหาข่าวในพื้นที่ ทำให้กลุ่มก่อความไม่สงบ รวมถึงกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันเถื่อนและยาเสพติด เคลื่อนไหวไม่สะดวก
"ข่าวลือเรื่องแก๊งลักเด็ก เหมือนสมัยก่อนที่มีโจรนินจา สุดท้ายก็ไปลงที่ ตชด.กับ นย. (เหตุนาวิกโยธิน 2 นายถูกรุมทำร้ายเสียชีวิตหลังถูกจับเป็นตัวประกันที่บ้านตันหยงลิมอ หมู่ 7 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อ 21 ก.ย.2548) ที่ต้องเสียชีวิตไป ครั้งนี้รถตู้ของทีมญาลันนันบารูก็โดนยิงไปทีมหนึ่งแล้ว ต่อไปจะเป็นของใคร ถ้าทุกคนยังช่วยกระพือข่าวแบบนี้" เป็นความเห็นของผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานเลข 2 ตัวนายหนึ่ง
สำหรับเหตุการณ์ยิงรถตู้ของทีมญาลันนันบารู เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 และปืนพกขนาด 9 มม.ยิงใส่รถตู้ของเจ้าหน้าที่หน่วยญาลันนันบารูที่ 1 ศูนย์ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (ศปส.กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ขณะปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย หนึ่งในนั้นเป็นนายทหารยศพันตรี
บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือ ถ้าข่าวลือเรื่องแก๊งลักเด็กไม่มีมูลความจริงเลย คือลือขึ้นโดยปราศจากข้อเท็จจริงรองรับ ก็น่าคิดว่ากลุ่มที่กำลังต่อสู้กับรัฐกำลังคิดทำอะไรอยู่หรือไม่ เพราะการจงใจปล่อยข่าวแต่ละครั้งล้วนเกิดเรื่องใหญ่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโจรนินจา หรือห้ามทำงานวันศุกร์!
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ภาพรถตู้ต้องสงสัยจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
2 เจ้าหน้าที่ตั้งด่านเข้มตรวจสอบรถตู้ทุกชนิด
3 เด็กๆ ในโรงเรียน กลุ่มเสี่ยงในสายตาชาวบ้าน ครู และพ่อแม่ผู้ปกครอง