อ่านใจ “บิ๊กตู่” ไม่ยุบทิ้ง “ส.ว.-องค์กรอิสระ-ศาล” ใช้เป็นกลไกเช็คบิล
"ตาม กระแสข่าวขณะนี้ มีแรงเชียร์จากหลายสายยุให้ “บิ๊กตู่” ขึ้นเป็น “ผู้นำประเทศ” ด้วยตัวเอง แต่ใจลึกของ “บิ๊กตู่” ไม่กระหายที่จะอยากเป็น เพราะเกรงว่ากระแสต้านจะเยอะจนรับแรงต่อต้านไมได้"
เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ปฏิบัติการ “รัฐประหาร” ยึดอำนาจการปกครองทั้งหมดมารวมศูนย์อยู่ที่ “พล.อ.ประยุทธ์” แต่เพียงผู้เดียว
การบริหารจัดการด้าน “มวลชน” ชนะไปเปราะหนึ่ง การเรียกบุคคลสำคัญของ “ขั้วอำนาจตรงข้าม” มารายงานตัว เพื่อป้องกันการต่อต้านสำเร็จไปอีกขั้น
ทว่า “การบ้าน” ที่ “บิ๊กตู่” ต้องตอบโจทย์ประเทศไทยให้ได้ยังมีเหลืออยู่มากมาย โดยเฉพาะการตั้ง “นายกรัฐมนตรี” ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารประเทศ ทั้งการปฏิรูปประเทศ การจัดการกับคดีความของทั้ง “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง-กปปส.” การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เป็นต้น
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org จึงรวบรวมข้อมูลจาก “แหล่งข่าว” ที่ยังพอให้ข้อมูลกันได้ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ อ่านใจ “บิ๊กตู่” ว่าจะนำพาประเทศไทยไปในทิศทางไหน
เริ่มจากประกาศของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) ฉบับที่ 11เรื่องการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอณาจักรไทย เพื่อความสงบเรียบร้อยในการปกครองประเทศจึงให้ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 5 เรื่องการสิ้นสุดชั่วคราวของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ใช้ข้อความตามประกาศฉบับนี้
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2
2.คณะรัฐมนตรีรักษาการสิ้นสุดลง
3.วุฒิสภายังคงปฏิบัติหน้าที่ตามจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มีอยู่ ณ วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้
4.ศาลทั้งหลายคงมีอำนาจดำเนินการพิจารณาและพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมายและประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
5. องค์กรอิสระและองค์กรอื่นๆตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2550 ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
นั่นเพราะ “บิ๊กตู่” ต้องการใช้เครื่องมือเท่าที่มีอยู่ตามกฎหมาย เพิ่มความชอบธรรมในการบริหารจัดการด้านต่างๆ เพราะหากทำ “รัฐประหาร” แล้ว ฉีกทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งฉบับ และยุบทิ้งทุกองค์กรจะโดนแรงต้านจากต่างประเทศมากกว่านี้
“บิ๊กตู่” ต้องการใช้ “วุฒิสภา” เลือก “นายกฯคนใหม่” เข้ามาบริหารประเทศ ภายหลังที่ “คณะกรรมการกฤษฎีกา” ชุดใหญ่ ประทับตราให้ “สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย” ว่าที่ประธานวุฒิสภา สามารถดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาได้ตามกฎหมาย
ดังนั้นเมื่อ “บิ๊กตู่” ต้องการลดแรงเสียดทานจากภายนอกประเทศ จึงอาจจะใช้ช่องทาง “วุฒิสภา” ชงชื่อ “นายกฯคนใหม่”
ตามกระแสข่าวขณะนี้ มีแรงเชียร์จากหลายสายยุให้ “บิ๊กตู่” ขึ้นเป็น “ผู้นำประเทศ” ด้วยตัวเอง แต่ใจลึกของ “บิ๊กตู่” ไม่กระหายที่จะอยากเป็น เพราะเกรงว่ากระแสต้านจะเยอะจนรับแรงต่อต้านไมได้
อีกกระแสคือ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ชายสุดเลิฟของ “บิ๊กตู่” ขึ้นมาเป็นนายกฯ ด้วยการสนับสนุนของ “บิ๊กตู่” เอง โดยเนื้อแท้แล้วข่าวระบุค่อนข้างตรงกันว่า “บิ๊กป้อม” อยากเป็น
หากเป็นชื่อ “บิ๊กตู่” หรือ “บิ๊กป้อม” ขึ้นเป็นนายกฯ ฟันธงได้เลยว่า การ “รัฐประหาร” ครั้งนี้ “บิ๊กตู่” ทำด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเกือบทั้งหมด
ทว่าหากมีชื่อ “บุคคลวีไอพี” ระดับเทพประทาน ฟันธงได้เลยเช่นกันว่า งานนี้ “อำมาตย์” มีเอี่ยว เพราะมี “บุคคลวีไอพี” เริ่มต่อสายเคลื่อนไหวกันแล้ว
นอกจากนี้ “บิ๊กตู่” สามารถใช้บริการ “วุฒิสภา” ให้แต่งตั้งตำแหน่งอื่นได้อีกมากมาย โดย “บิ๊กตู่” อาจจะให้คำแนะนำอยู่ข้างหลัง
ส่วน “องค์กรอิสระ” ที่ “บิ๊กตู่” อยากให้ทำงานต่อมากที่สุดหนีไม่พ้น “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.) เพราะคดีความของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในขั้นการสอบสวนของ “ป.ป.ช.” และมีความคืบหน้าไปเยอะ
หากยุบทิ้ง “ป.ป.ช.” แล้วตั้งหน่วยงานอื่นมาตรวจสอบ ก็เท่ากับว่าเริ่มนับหนึ่งใหม่
คดีสำคัญ อาทิ คดีโครงการรับจำนำข้าว คดีถอดถอนส.ส. 200 กว่าคน กรณีแก้รัฐธรรมนูญที่มาส.ว. โครงการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น
ด้านองค์กรอิสระ-องค์กรศาล อาทิ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) “ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นต้น ยังแพ๊คกันแน่น
ทั้งหมดคือความจำเป็นที่ “บิ๊กตู่” ไม่ยุบทิ้ง “วุฒิสภา” – “องค์กรอิสระ” – “องค์กรศาล” กระแสต้านจะได้ลดลง อำนาจของ “บิ๊กตู่” เองจะได้ไม่ต้องใช้อย่างพร่ำเพรื่อ