"หม่อมอุ๋ย" ชี้เอกชนค้ำเศรษฐกิจไทย แนะรัฐบาลกระตุ้นเกษตรกระเตื้อง
“ม.ร.ว.ปรีดิยาธร” ระบุภาคเอกชนแข็งแกร่ง ค้ำเศรษฐกิจไทยฟื้นเร็ว แนะรัฐบาลดูแลความเหลื่อมล้ำ-การกระจายรายได้-การศึกษาหากทำดีก็ไม่ต้องกังวลปัญหาเศรษฐกิจ ชี้ต้องปรับปรุงภาคเกษตร หามาตรการเพิ่มผลผลิต-ราคา-รายได้เกษตรกร
เมื่อวันเสาร์ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดงานประชุมทางวิชาการระดับบัณฑิตศึกษาประจำปี 54 จัดโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ทั้งนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ความแข็งแกร่งของภาคเอกชน…ทางออกของประเทศไทย ว่า ความสำคัญของเอกชนที่มีต่อเศรษฐกิจไทยไม่ใช่เรื่องใช้อนาคต แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในระบบเศรษฐกิจของไทย เมื่อใดที่ภาคเอกชนอ่อนแอมีปัญหา เศรษฐกิจไทยก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมาก และเมื่อใดที่ภาคเอกชนแข็งแรง เศรษฐกิจประเทศไทยก็จะดีไปด้วย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวตอนหนึ่งว่า ในปี 2551-2552 ที่ประเทศมีปัญหาการเมืองภายในประเทศวุ่นวาย มีการประท้วงชุมนุมปิดสนามบิน และเลยเถิดมาถึงการเผาอาคารร้านค้าต่างๆ กระทบธุรกิจท่องเที่ยวในขณะที่เศรษฐกิจกำลังแย่ และกระทบการเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างชาติและในไทย แต่ความแข็งแกร่งของภาคเอกชนทำให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วกว่าการฟื้นตัวของสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น และที่น่าสังเกตคือ เราฟื้นตัวมาได้ในท่ามกลางเหตุการณ์การเมืองที่วุ่นวาย จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดว่า ภาคเอกชนแยกจากการเมืองอย่างชัดเจน
“ความแข็งแกร่งที่ทำให้ภาคเอกชนเราขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เกิดจากความมั่นคงของฐานะการเงินเท่านั้น แต่เกิดจากความสามารถของสินค้าและการบริการที่มีคุณภาพสูงของผู้ซื้อและผู้ใช้บริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ การปรับปรุงให้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานโลก การผลิตด้วยเทคโนโลยีที่สมัยเพิ่มความแข็งแกร่งในด้านความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งทั่วโลก ในด้านอุตสาหกรรมประเทศไทยจัดว่าอยู่แนวหน้าของอาเซียนในสินค้าอุปโภคบริโภค และไม่มีประเทศใดสู้ไทยได้ เพราะเราถือว่าดีที่สุดในอาเซียน สินค้าที่แข่งขันได้อย่างแข็งแกร่งกับทั่วโลกของไทย ได้แก่ อัญมณี ข้าว ยางพารา น้ำตาล อาหารทะเล เสื้อผ้า รถจักรยานยนต์ รถยนต์ขนาดเล็ก รถปิกอัพ และชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมหนัก อาทิ ปูนชีเมนต์ และอุตสาหกรรมเทคโนเคมี”
อย่างไรก็ตาม ด้านหนึ่งที่เราจะต้องปรับปรุง ทำให้ดีมากกว่านี้ขึ้นอีกคือ ภาคการเกษตร ซึ่งขณะนี้ภาคเกษตรมีการพัฒนาดีขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะเรายังสามารถทำให้ผลผลิตต่อไร่ของภาคการเกษตรให้สูงขึ้นกว่านี้ได้อีก พร้อมกับหามาตรการที่จะทำให้ราคาพืชผลและรายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวด้วยว่า ภาคเอกชนเป็นทางออกของประเทศไทย แต่ก็มีช่วงที่มีปัญหาด้านการเงินช่วงหนึ่ง เราก็เลยอ่อนแอ แต่ทันทีที่มีการแก้จุดอ่อนดังกล่าว ภาคการผลิตและประสิทธิภาพการผลิตก็ดึงให้เศรษฐกิจเรากลับมาได้โดยเร็ว และที่เศรษฐกิจเราฟื้นขึ้นมาได้ไม่ใช่เพราะการเงิน แต่ฟื้นเพราะการทำให้การเงินที่ไหลออก ให้หยุดไหล และรักษาแผลด้วยการผลิตสินค้า ซึ่งในส่วนนี้เองที่เป็นตัวที่ช่วยดึงเศรษฐกิจของประเทศกลับมาได้ในอีกครั้ง กระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจอเมริกาเราก็อยู่ได้
“ดังนั้น จึงเชื่อว่าความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจเราแข็งแกร่งครบถ้วนแล้ว แต่โอกาสจะโตกลับไม่มี เพราะเราขาดความเชื่อมั่นที่จะเดินหน้า เช่นโครงการมาบตาพุด เนื่องจากไม่มีรัฐบาลไหนที่จะกล้าเปิดพื้นที่อุตสาหกรรม และถ้าเศรษฐกิจจะโตต่อไป ก็คงไม่โตเร็วเหมือนในอดีต เราขาดสิ่งเดียวที่ยังไม่ได้ทำคือความเป็นเทรดดิ่งเรชั่น ซึ่งโอกาสมี หากไทยได้ผู้นำที่เข้าใจเรื่องนี้ และช่วยผลักดันจนเกิดขึ้นได้จริง ประเทศจะเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเอกชนที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ และทุกอย่างก็จะสามารถเดินหน้าไปเองได้ รัฐบาลควรจะต้องเป็นรัฐบาลที่ดูแลความเหลื่อมล้ำในสังคม ดูแลเรื่องการกระจายรายได้ที่ดี ดูแลเรื่องการศึกษาให้มากขึ้น แล้วรัฐบาลก็ไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องเศรษฐกิจอีกต่อไป” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว.