นักวิจัยฉะการเมืองมัวแต่แย่งอำนาจ เมินทุกข์-สุขปชช.
ดร. มิ่งสรรพ์ ยกนโยบายรถคันแรก จำนำข้าว เปรียบนโยบายสาธารณเหมือนธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องมีลูกค้า ซึ่งก็คือราชการ รัฐบาล แต่วันนี้ไม่อยู่ในฐานะที่ทำอะไรได้ แถมอดีตที่ผ่านมาก็เมินงานวิชาการ ส่งผลนโยบายสาธารณะผิดเพี้ยน ทำแค่ให้ได้คะแนนเสียง
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันคลังสมองของชาติ (สคช.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดสัมมนา เรื่อง “การก้าวสู้งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์เกษตรและนโยบายสาธารณะ:จะสร้างความท้าทายได้อย่างไร” ณ โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพฯ โดย ศ.ดร. มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด ประธานมูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในหัวข้อ “การวิจัยนโยบายสาธารณะ อะไร ทำไม เพื่อใคร อย่างไร”
ศ.ดร. มิ่งสรรพ์ กล่าวถึงการวิจัยนโยบายสาธารณะว่า การทำวิจัยต่างๆ นั้น นักวิจัยศึกษาเพื่อให้รู้ถึงขนาดและความรุนแรงของปัญหาที่ต้องการแก้ไข ยกตัวอย่างกรณี นโยบายของรัฐบาลกับปัญหารถคันแรกที่ออกมาโดยไม่สนใจว่า ส่งผลกระทบมากขนาดไหน จนสุดท้ายผลที่ตามมารัฐบาลไม่มีเงินจ่ายภาษีคืนให้รถคันแรก เพราะฉะนั้นการรู้ศักยภาพขององค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งยังจะสร้างเสริมให้องค์กรมีนโยบายที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียง
ประธานมูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มช. กล่าวถึงนโยบายสาธารณะก็เหมือนธุรกิจอย่างอื่นๆ ที่ต้องมีลูกค้า ซึ่งก็คือราชการหรือรัฐบาล แต่ตอนนี้ราชการไม่มีกระจิตกระใจซื้อของ เพราะไม่อยู่ในสถานะที่ซื้อของได้ เนื่องจากเป็นเพียงแค่รัฐบาลรักษาการ จึงทำให้ไม่สามรถดำเนินนโยบายในด้านต่างๆได้ อีกทั้งรัฐบาลไม่ได้สนใจวิชาการ เพราะว่ารัฐบาลได้กำหนดในสิ่งที่จะดำเนินการเรียบร้อยแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรและเช่นไร ประกอบกับมีคนสั่งมาว่า ให้ดำเนินการอย่างไรให้ได้มาเพื่อเสียงข้างมากในรัฐสภา
“ตอนนี้เรื่องใหญ่ของประเทศเป็นเรื่องการเมือง เรื่องแยกอำนาจ ที่ไม่ใช่เรื่องความทุกข์หรือความสุขของประชาชน ทุกวันนี้นักการเมืองไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านจะอยู่ดีกินดีหรือไม่ แต่สนใจว่าทำนโยบายอะไรจะให้ได้เสียงขึ้นมาก็เลยทำให้การทำงานนั้นยากขึ้น อย่างกรณีจำนำข้าวในระยะสั้นดูดี แต่ถึงตอนนี้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เกษตรกรทุกข์หนักกว่าใคร”
สำหรับการดำเนินงานทางด้านวิจัยต่อไปในอนาคตนั้น ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวว่า นักวิจัยควรทำวิจัยต่อไป แม้จะไม่มีหน่วยงานราชการหรือรัฐบาลสนับสนุน แต่ถึงอย่างไรก็ตามให้รอจังหวะที่เหมาะสม และหาแนวร่วมอื่นๆ ที่จะทำในรัฐบาลมาร่วมด้วย ในปัจจุบันนักวิจัยของไทยมีจำนวนน้อย อีกทั้งมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเน้นแต่เรื่องการสอนมากกว่าเน้นการทำวิจัย ฉะนั้นนโยบายสาธารณะของไทยจึงเป็นนโยบายที่ไม่ถูกต้อง หรือบางทีก็ไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์