ทำไมต้อง 7 คนนี้ ? ดูเหตุผล “ปู” ขอ “ป.ป.ช.” สอบพยานแก้ต่างคดีข้าว
“…ดังนั้นการนำพยานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาทั้ง 7 ปาก จึงไม่ได้มากมายและไม่ได้ทำให้การไต่สวนล่าช้าแต่อย่างใด ซึ่งหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและนำสืบพยานทั้ง 7 ปากดังกล่าวแล้ว จะทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับทราบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายอย่างครบถ้วน อันจะทำให้การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม…”
ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตัดพยานจำนวน 2 ปาก คือ นายสมชัย สัจพงษ์ และนายอำพล กิตติอำพล ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องการให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเพิ่มเติมกรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวนั้น
ส่งผลให้ “ยิ่งลักษณ์” ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง !
ดังที่นายบัญชา ปรมิศณาภรณ์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ท่านนายกฯไม่สบายใจกับเรื่องนี้มาก ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตัดพยานที่ขอออกไป เนื่องจากพยานแต่ละปากสามารถให้ข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน และมีความเชี่ยวชาญคนละอย่างกันไป
(อ่านประกอบ : “ทนายปู”ขอ“ป.ป.ช.”สอบพยานเพิ่มอย่างน้อย 4 ปากชี้นายกฯไม่สบายใจ)
ส่งผลให้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 นายบัญชา จึงได้นำหนังสือคำร้องขออ้างและนำสืบพยานหลักฐานประกอบการชี้แจงข้อกล่าวหา ครั้งที่ 3 ของ “ยิ่งลักษณ์” มายื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อต้องการให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบพยานเพิ่มเติมอีก 7 ปาก
พร้อมยืนยันว่า “อย่างน้อยก็ขอให้สอบแค่ 4 ปากสำคัญก็ยังดี”
ใครเป็นใครในพยาน 7 ปาก และแต่ละปากมีความสำคัญอย่างไร ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ขอนำหนังสือคำร้อง “ฉบับเต็ม” ดังกล่าว มานำเสนอดังนี้
“ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริง ตามคำสั่งที่ 27/2557 ลงวันที่ 28 มกราคม 2557 โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีประธานวุฒิสภาได้ส่งคำร้องขอให้ถอดถอนข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่ามีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ด้วยการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง แต่กลับเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557 ข้าพเจ้าได้ยื่นบันทึกปากคำผู้ถูกกล่าวหาฉบับลงวันที่ 31 มีนาคม 2557 ขอพยานบุคคลเข้านำสืบพยานแก้ข้อกล่าวหาตามประเด็นจำนวน 11 คน ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือฉบับลงวันที่ 3 เมษายน 2557 มีมติให้ไต่สวนพยานบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับจำนำข้าวและการเงิน การคลังของประเทศรวม 3 ราย ได้แก่
1.นายยรรยง พวงราช รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันที่ 9 เมษายน 2557 เวลา 13.30 น.
2.นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันที่ 10 เมษายน 2557 เวลา 13.30 น.
3.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันที่ 17 เมษายน 2557 เวลา 10.00 น.
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 ข้าพเจ้าเห็นว่าเพื่อเป็นประโยชน์แห่งความยุติธรรม และให้การนำสืบแก้ข้อกล่าวหาครบถ้วนทุกประเด็นที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหา จึงได้ยื่นคำร้องขออ้างพยานบุคคลเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาจำนวน 5 ปาก แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้นำพยานเข้าสืบเพียง 1 ปาก คือ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง เท่านั้น
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2557 ข้าพเจ้าเห็นว่าพยานที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนนั้นมีข้าราชการประจำคือ นายสมชัย สัจพงษ์ และนายอำพล กิตติอำพล ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กล่าวหา และสามารถหักล้างข้อกล่าวหาในเรื่องความไม่ถูกต้องของการจัดทำรายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชี และรู้เห็นเกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวที่สำคัญ และชี้แจงมติคณะรับมนตรีที่ไม่สามารถยกเลิกได้ จึงได้ยื่นคำร้องต่อขออ้างพยานบุคคลซึ่งเป็นข้าราชการประจำ และพยานเอกสารประกอบการชี้แจงแก้ข้อหาเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2557 จำนวน 2 ปาก
แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติไม่อนุญาให้นำพยานบุคคลทั้ง 2 ปากเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหา นอกจากนี้พยานบุคคลที่กรรมการ ป.ป.ช. ไม่อนุญาตให้สืบพยานอีกหลายรายล้วนแต่ปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินโครงการับจำนำข้าวทั้งสิ้น โดยมีส่วนรู้เห็นที่กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาว่าไม่เป็นความจริง
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนดและนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติม ดังมีรายชื่อบุคคลเพิ่มเติม ดังนี้
1.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะทำงานตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 156/2555 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 ประธานคณะทำงานฯดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ ปราบปราม ป้องกันการทุจริตตามคำสั่งของข้าพเจ้า เพื่อนำสืบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า ข้าพเจ้ามิได้เพิกเฉยหรือไม่ระงับยับยั้ง ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และระบายข้าวตามที่ถูกกล่าวหา หรือมิได้สร้างนโยบายโครงการรับจำนำข้าว เพื่อ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ตามที่กล่าวหารวมทั้งผลการดำเนินการจับกุม กำกับ ควบคุม ดูแลโครงการรับจำนำข้าวมิให้ทุจริต เพื่อแก้ข้อกล่าวหาของกรรมการ ป.ป.ช. ว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นการกำหนดขึ้น “เพื่อทุจริตเชิงนโยบาย”
2.พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำสืบหักล้างบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า รายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำของน.ส.สุภา ปิยะจิตติ และแจ้งผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นรายงานผลการปิดบัญชีที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง โดยพล.ต.อ.วรพงษ์ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบในประเด็นความเสียหายกรณีข้าวมิได้สูญหายจากโกดัง ตามข้ออ้างในรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี เพื่อชี้ให้เห็นว่าการที่อนุกรรมการปิดบัญชีไม่นำข้าวจำนวน 2.98 ล้านตัน มาลงบัญชีเป็นการไม่ถูกต้อง เมื่อข้าวไม่หายจากสต็อก
3.นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ ปราบปราม ป้องกันการทุจริตตามคำสั่งของข้าพเจ้า และรายงานผลการดำเนินการให้ข้าพเจ้าและคณะรัฐมนตรี เพื่อนำสืบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการปรับปรุงแก้ไข และเสริมมาตรการเพื่อประสิทธิภาพของโครงการอย่างไร เพื่อมิให้ขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการเสียหาย และเป็นพยานที่เคยประชุมกับน.ส.สุภา เกี่ยวกับการไม่บันทึกคดีข้าวจำนวน 2.98 ล้านตัน มีข้อไม่สมบูรณ์ และความเห็นต่างกันระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินโครงการอันยังไม่เป็นข้อยุติในการลงบัญชี เพราะมีข้อไม่สมบูรณ์หลายประการ
4.นายพิชัย ชุณหวชิร การนำนายพิชัย ชุณหวชิร ซึ่งเป็นพยานผู้มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ คุณวุฒิ เป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านบัญชี และเป็นพยานบุคคลภายนอก ซึ่งมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า แต่ได้เสียสละยอมมาให้ปากคำเพื่อให้เกิดความเที่ยงธรรมในการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในประเด็นหักล้างให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า รายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ที่น.ส.สุภา สรุปผลการปิดบัญชีและภาระหนี้สิน ได้แก่ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเป็นรายงานที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ รับฟังไม่ได้ ตามหลักการทางบัญชี แม้จะเป็นบัญชีภาครัฐ แต่นายพิชัย สามารถชี้ให้เห็นได้ว่า ซึ่งแม้เป็นการจัดทำบัญชีภาครัฐ แต่มีความไม่ถูกต้องในหลักการอย่างไร ไม่สมบูรณ์ในเรื่องอะไร อันจะเป็นการหักล้างทำให้รายงานอนุกรรมการปิดบัญชีไม่สามารถเป็นพยานหลักฐานเพื่อชี้มูลความผิดได้ ซึ่งเป็นประเด็นสาระสำคัญที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา
5.พล.ต.ท.ดร.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อนำสืบหักล้างการใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ไต่สวนคำร้องถอดถอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 แต่กลับเป็นผู้กล่าวหาร่วมด้วยกับผู้ร้องถอดถอน และพิจารณาคดีคำร้องถอดถอนรวมกันกับคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหา โดยผิดระเบียบการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามเนื้อหาประเด็นดังที่กล่าวมาข้างต้น
6.ดร.โอฬาร ไชยประวัติ เป็นพยานบุคคลเพื่อสนับสนุนคำชี้แจงของข้าพเจ้าในฐานะเป็นที่ปรึกษาและจัดทำนโยบายโครงการรับจำนำข้าวให้แก่พรรคเพื่อไทยในการหาเสีสยงเลือกตั้ง จะชี้แจงให้เห็นว่า เหตุผลในการกำหนดราคารับจำนำข้าวที่ 15,000 บาท มีเหตุผลอย่างไรที่ไม่กำหนดราคาจำนำตามราคาตลาดในเวลานั้น และเป็นพยานบุคคลนำสืบเพื่อหักล้างระบบการประกับความเสี่ยงด้านราคาข้าวที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอแนะให้รัฐบาลนำระบบการประกันความเสี่ยงด้านราคาข้าวมาใช้เป็นนโยบายของรัฐบาล ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นไปตามความประสงค์ที่จะทำให้เกษตรกรยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น ทั้งระบบราคาส่งออกข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้น มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมเพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องชาวไทย และหักล้างรายงานของสถาบันวินจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตามข้ออ้างและข้อกล่าวหาของนายนิพนธ์ พัวพงศกร และนายจิตรกร จารุพงษ์ ผู้จัดทำผลการวิจัยของสำนักงาน ป.ป.ช. เรื่อง โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต : การแสวงหาค่าตอบแทนส่วนเกิน และเศรษฐศาสตร์การเมืองของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก
7.นายสัตว์แพทย์ชัย วัชรงค์ นักวิชาการอิสะ ซึ่งศึกษากลไกการตลาดข้าว และนำเสนอต่อสาธารณะจนเป็นที่ประจักษ์เพื่อนำสืบหักล้างข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาในเรื่องข้ออ้างการบิดเบือนกลไกตลาด และหักล้างข้อสังเกตุ และข้อเสนอแนะที่ปรากฏในหนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด กค 0201/ล1569 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2555 โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/2555 ที่มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะว่า “รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ซึ่งผลกระทบที่ตามมา คือ เกิดการบิดเบือนราคาตลาด ตลาดข้าวเอกชนโดยเฉพาะ ตลาดกลางข้าวเปลือกถูกทำลาย โรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการไม่สามารถจัดหาซื้อข้าวได้เพียงพอ โรงสีในโครงการและผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้าว จะมีการค้าขายที่มีข้อได้เปรียบโรงสี และผู้ส่งออกนอกโครงการ ตลอดจนราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญ” ไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง
ด้วยเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องนำพยานทั้ง 7 ปากดังกล่าวข้างต้น เพื่อนำสืบแก้ข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีทั้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอยู่หลายประเด็น
ดังนั้นการนำพยานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาทั้ง 7 ปาก จึงไม่ได้มากมายและไม่ได้ทำให้การไต่สวนล่าช้าแต่อย่างใด ซึ่งหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและนำสืบพยานทั้ง 7 ปากดังกล่าวแล้ว จะทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับทราบข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายอย่างครบถ้วน อันจะทำให้การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
ทั้งนี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าอันจะเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ข้าพเจ้าในฐานะผู้ถูกกล่าวหา อีกทั้งเป็นการให้โอกาสแก้ข้าพเจ้าในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอในการเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตนตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ข้าพเจ้าจึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้โปรดพิจารณาและมีหนังสือแจ้งให้พยานทั้ง 7 ปากดังกล่าว มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไปได้วย”