เบื้องหลัง"ป.ป.ช."ไต่สวนบิ๊กค้าข้าว 89 ราย สั่งจ่ายเช็คระบายจีทูจี"เก๊"
“..เรื่องนี้ มีบริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก บางรายก็รับหน้าที่นำข้าวมาปรับปรุงต่อบ้าง เอาข้าวไปขายต่อบ้าง มีการเอาข้าวรัฐมาเร่ขายในราคาถูกบ้าง แต่ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนคือข้าว ไม่ได้ถูกส่งออกไปต่างประเทศ แล้วจะมาเรียกว่า จีทูจีได้อย่างไร.. ”
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที!
เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติไต่สวนเพิ่มเติมผู้ถูกกล่าวหาคดีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี เพิ่มเติม ในกลุ่มกรรมการและบริษัทเอกชน จำนวน 89 ราย
โดยระบุเหตุผลประกอบว่า "บัดนี้คณะอนุกรรมการไต่สวนได้ไต่สวนพบว่า มีบุคคลซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวน 89 รายได้มีส่วนร่วมในการ กระทำความผิดในเรื่องที่อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง กล่าวคือ เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นเหตุที่ทำให้มีการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็ค "เจ้าของของบัญชี" ที่นำเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็ค ซึ่งนำไปมอบให้กับกรมการค้าต่างประเทศ"
คำถามที่น่าสนใจ คือ พฤติการณ์ของกรรมการและบริษัทเอกชนค้าข้าวเหล่านี้ มีความสำคัญอย่างไร ต่อคดีการระบายข้าวจีทูจี ถึงทำให้ ป.ป.ช. สั่งไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติมในครั้งนี้
(อ่านประกอบ :ป.ป.ช.ไต่สวนกราวรูด 89 บิ๊กค้าข้าว สั่งจ่ายเช็คระบายจีทูจี "เสี่ยเปี๋ยง" ไม่รอด!)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการยืนยันข้อมูลจากทีมไต่สวนคดีระบายข้าวจีทูจี ก่อนหน้านี้ ว่า ในการไต่สวนคดีนี้ คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับหลักฐานสำคัญเป็นแคชเชียร์เช็คจำนวนหลายพันใบ ที่สั่งจ่ายให้กับกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อชำระเป็นค่าข้าวในสต๊อกรัฐบาล ซึ่งอ้างว่าเป็นการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
โดยจากการประสานงานขอข้อมูลไปยังธนาคารที่ออกแคชเชียร์เช็คเหล่านี้ทุกแห่ง คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับการยืนยันว่าเป็นการสั่งจ่ายโดยบริษัทค้าข้าวในประเทศไทย
ไม่ได้สั่งจ่ายจากบริษัทเอกชนสองรายจากจีน ที่ระบุว่าเข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวกับไทยในรูปแบบจีทูจี ตามที่มีการ กล่าวอ้างแต่อย่างใด
ขณะที่จากการเชิญตัวแทนบริษัทค้าข้าว ที่ปรากฎว่ามาเป็นผู้จ่ายเช็ค มาให้ปากคำ คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับการยืนยันข้อมูลตรงกันว่า ได้ซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลจริง
โดยกระบวนการที่เกิดขึ้น บริษัทเหล่านี้อ้างว่า จะต้องติดต่อซื้อข้าวผ่าน "บริษัทสยามอินดิก้า" ก่อน แต่ถ้าจะขนข้าวได้จะต้องสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คให้กรมการค้าต่างประเทศ
คณะอนุไต่สวนฯ รายหนึ่งระบุว่า "เมื่อวิเคราะห์พยานและหลักฐานที่ได้รับมา ไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัท จีเอสเอสจี จำกัดและบริษัท ไห่หนาน จำกัด ตัวแทนจากจีน ที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายกับกรมการค้าต่างประเทศ ที่ไม่สามารถแสดงหลักฐานการมอบอำนาจจากบริษัท คอฟโก รัฐวิสาหกิจของจีน ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีน ให้เป็นผู้ดูแลเรื่องการค้าข้าวเพียงแห่งเดียว มายืนยันความเป็นตัวแทนของจีนในการรับซื้อข้าวจากไทยครั้งนี้ได้"
ขณะที่ข้าวในสต๊อกรัฐบาล ที่อ้างว่ามีการระบายออกไปต่างประเทศ ไม่ได้ถูกส่งออกไปจริง แต่วนเวียนไปอยู่ในมือของบริษัทค้าข้าวในไทยกลุ่มนี้ แถมการซื้อขายจะต้องติดต่อผ่านบริษัทสยามอินดิก้าก่อน และมีการสั่งจ่ายเช็คให้กับกรมการค้าต่างประเทศ
จึงเป็นใบเสร็จชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การซื้อขายข้าวส่วนนี้ ไม่ได้เป็นการซื้อขายแบบจีทูจีจริง
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะผู้รับผิดชอบการไต่สวนคดีนี้ ที่กล่าวยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ก่อนหน้านี้ ว่า คณะอนุฯ ได้รับการยืนยันว่าบริษัทเอกชนค้าข้าว กลุ่มหนึ่ง เป็นผู้ออกแคชเชียร์เช็คซื้อข้าว สั่งจ่ายให้กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้อ้างว่า ต้องซื้อข้าวผ่านบริษัทสยามอินดิก้า แต่จะต้องสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คผ่านกรมการค้าต่างประเทศ
“มันไม่ใช่การซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ เพราะถ้าเป็นรัฐต่อรัฐจริง คุณจะจ่ายเงินแบบนี้ได้ไง กรมการค้าต่างประเทศอยู่ที่ไทยนะ ไม่ใช่กรมการค้าต่างประเทศของจีน เป็นของไทย เมื่อเป็นแบบนี้ ข้าวมันก็ต้องวันอยู่ในประเทศนี้ ไม่ได้ส่งออกไปข้างนอก มันจะไปอยู่นอกประเทศได้ไง คุณขนข้าวไปเมื่อไร ”
“ เราได้แคชเชียร์เช็คที่แน่นอนชัดเจน เพียงแต่ว่า เราต้องการความร่วมมือจากบริษัทเหล่านี้ ซึ่งเรารู้มาแล้วว่า ไม่ได้เสียภาษีเลย ในการซื้อข้าวส่วนนี้ เขาก็ยอมรับว่า เขาไม่ได้เสียภาษี บางบริษัทยังบอกเลยว่า "ทำยังไง ผมถึงจะเสียภาษีได้ พรุ่งนี้ ผมไปเสียภาษีเลยได้ไหม" เพราะในการประเมินภาษี ถ้าเสียย้อนหลังจะต้องโดนปรับ เขาเดือนร้อนมาก บริษัทเหล่านี้เดือนร้อนมาก"
"เราก็เห็นใจ เขาอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมา ผมต้องยอมรับเลย พวกเขาน่าสงสารที่สุด แต่เราจะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ เพราะการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้ามีการค้าการขาย จะหลบเลี่ยงไม่ได้ ต้องลงบัญชีโดยถูกต้อง”
ขณะที่ นายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน อดีตนายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ให้สัมภาษณ์ยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า การระบายข้าวจีทูจี ของรัฐบาลในคดีนี้ มีบริษัทค้าข้าวเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก และมีเช็คหลายพันใบ ปรากฎเป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าหลังจากที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น ข้าวไม่ได้ถูกส่งออกไปนอกประเทศ แต่ถูกนำมาเวียนขายต่อในประเทศ
โดยมีบุคคลกลุ่มหนึ่งรับหน้าที่เป็นนายหน้า นำข้าวไปเร่ขายในราคาถูก ต่ำกว่าราคาที่รัฐเปิดประมูล พวกพ่อค้าก็เห็นช่องทางทำกำไรก็แย่งเข้าไปซื้อมาขายต่อกัน
“ มีโรงสีหลายแห่ง โทรมาปรึกษาผมว่าจะทำอย่างไรดี เพราะเขาก็เข้าไปซื้อข้าวด้วย และสั่งจ่ายเช็คซื้อข้าวไปด้วย โรงสีหลายแห่งก็ทำแบบนี้ ซื้อมากซื้อน้อยแล้วแต่กำลัง เช็คบางฉบับระบุตัวเลขแค่หลักแสนหลักหมื่น ทำให้เช็คที่เกิดขึ้น ในการซื้อขายข้าวกรณีนี้ มีจำนวนหลายพันใบ ซึ่ง ป.ป.ช. คงไปไล่เส้นทางเงินมาเรียบร้อย มีข้อมูลอยู่ในมือหมดแล้ว ว่าเงินจ่ายไปที่ใครบ้าง ถึงประกาศรายชื่อบริษัทเอกชนที่เข้าไปเกี่ยวข้องออกมาได้”
นายนิพนธ์ ยังกล่าวยืนยัน "เรื่องนี้ มีบริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก บางรายก็รับหน้าที่นำข้าวมาปรับปรุงต่อบ้าง เอาข้าวไปขายต่อบ้าง มีการเอาข้าวรัฐมาเร่ขายในราคาถูกบ้าง แต่ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนคือข้าว ไม่ได้ถูกส่งออกไปต่างประเทศ แล้วจะมาเรียกว่า จีทูจีได้อย่างไร”
นายนิพนธ์ ยังระบุด้วยว่า อย่างไรก็ตาม การเชิญตัวแทนบริษัทค้าข้าว ไปไต่ส่วนข้อมูลครั้งนี้ เชื่อว่า คงมีบางบริษัทที่ถูกกันตัวไว้เป็นแค่พยาน เท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามหลักการไต่สวนคดี ที่ต้องมีผู้กระทำความผิด และมีพยาน
"แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า บริษัทเหล่านี้ จะให้การที่เป็นประโยชน์ตอบรูปคดีมากน้อยแค่ไหน เพราะป.ป.ช. มีข้อมูลอยู่ในมือหมดแล้ว ถ้าให้การผิดไปจากข้อเท็จจริง และคดีถูกตัดสินว่ามีความผิด ก็คงต้องรวมรับผิดชอบไปด้วย"
ทั้งหมดนี่ คือเบื้องหน้าเบื้องหลัง จากที่ ป.ป.ช. ลงมติเรียกตัวกรรมการและบริษัทเอกชนค้าข้าว 89 ราย มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในครั้งนี้
ส่วน "ใคร" จะติดบ่วงคดีต่อไป ในฐานะผู้สมรู้รวมคิด หรือ หลุดรอดกลับมาประกอบธุรกิจค้าข้าวได้ดังเดิม ในฐานะ "พยาน" ปากสำคัญ ที่จะได้รับสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมาย
คงต้องจับตามองต่อไปแบบห้ามกระพริบตาเด็ดขาด!
โดยเฉพาะชะตากรรม "เสี่ยเปี๋ยง" หรือ "นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร" และบริษัทสยามอินดิก้า!
"ตัวละครเอก" ที่ได้ชื่อว่าเป็น จิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่สุด ในคดีทุจริตการระบายข้าวจีทูจี ครั้งนี้
(อ่านประกอบ: “วิชา”ย้ำเงื่อนตายระบายจีทูจี"เก๊"-อาศัยแค่"ชื่อ"สุดท้ายข้าววนเวียนในปท.)